Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
SOAP NOTE
ประวัติทางสังคม
ดูแลรักษาสุขภาพอยางสม่ําเสมอ ออกกําลังกายเปนประจํา โดยการเดินรอบอางเก็บน้ําระยะทาง 2 กิโลเมตร ประมาณ
30 นาที วัดความดันโลหิตเปนประจําทุกสัปดาห ไมมีประวัติการดื่มสุราและสูบบุหรี่ ไมรับประทานของหวานและน้ําอัดลม
รับประทานผักและผลไมเยอะ ชอบรับประทานผัดกะเพราปลาหมึก เมื่อไดรับการวินิจฉัยวามีภาวะความดันโลหิตสูง จึงหยุด
รับประทานอาหารดังกลาว เขานอนตอนสามทุม ตื่นนอนตอนหกโมงเชาเปนประจําทุกวัน
การตรวจรางกาย
BP 150/90 mmHg
คาตรวจผลทางปฏิบัติการ
Normal range
FBS 94 mg/dL (70-120)
BUN 22 mg/dL (10-20)
Creatinine 1.1 mg/dL (0.5-1.6)
Cholesterol 315 mg/dL (150-250)
Triglyceride 238 mg/dL (0-170)
HDL-C 43 mg/dL (> 35)
Alkaline phosphatase 95 mg/dL (38-126)
SGOT 43 u/l (8-40)
SGPT 23 u/l (7-56)
Uric acid 7.7 u/l (2.7-7.2)
ยาที่ผูปวยไดรับ
1.) Valsartan 160 mg ½ x 1 pc (รักษาภาวะความดันโลหิตสูง)
2.) Simvastatin 10 mg 2 x 1 hs (รักษาภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ)
SOAP note:
Subjective data -
Objective data
Blood pressure 150/90 mmHg
Total cholesterol 315 mg/dL (150-250)
Triglyceride 238 mg/dL (0-170)
Assessment: Hypertension
จากผลความดันโลหิต 150/90 mmHg ตาม JNC VII guideline ผูปวยจะเปนอยูในภาวะ Stage 1
Hypertension และอยูในภาวะ Grade 1 Hypertension ตาม ESH-ESC guideline ป 2007 โดยผูปวยไมมีโรคอื่น
รวม เชน Heart failure (HF), Ischemic heart disease (IHD), Chronic renal failure (CRF), Diabetes
milletus (DM), Stroke นอกจากนีม ้ ปี จจัยเสี่ยงตอโรคหัวใจและหลอดเลือดในระดับปานกลาง (Moderate added risk)
ตาม ESH-ESC guideline เนื่องจากผูปวยมีภาวะ Dyslipidemia รวมดวย เพื่อลดความเสี่ยงตอโรคหลอดเลือดหัวใจใน
ระยะยาวใหมากที่สุด จึงจําเปนตองลดระดับความดันโลหิตใหต่ํากวา 140/90 mmHg จากประวัติผูปวยพบวา ผูปวยไดคุม
อาหารและออกกําลังกายหลังไดรับการวินิจฉัยโรค แตยังไมสามารถควบคุมความดันโลหิตไดมากนัก จึงตองเริ่มการรักษาโดยใช
ยาลดความดันโลหิต สําหรับ 1st line drugs ในการรักษาประกอบดวยยา 4 กลุมตามแนวทางทั้งสอง คือ
- Angiotensin converting enzyme inhibitors (ACEIs)/
Angiotensin receptors blockers (ARBs)
- Calcium channel blockers (CCBs)
- Beta-adrenergic receptor antagonists (BBs)
- Thiazide diuretics
Assessment: Dyslipidemia
จากคาตรวจทางหองปฏิบัติการ ระดับ Total cholesterol (TC) = 315 mg/dL สูงกวาเกณฑวินิจฉัยตาม
NCEP III guideline ป 2002 ที่ 200 mg/dL สําหรับระดับ Triglyceride (TG) = 238 mg/dL สูงกวาเกณฑที่ 150
mg/dL และ LDL-C ซึง่ คํานวณโดยใชสูตร [LDL-C = Total cholesterol – TG/5 – HDL] เทากับ 224 mg/dL
โดยที่ HDL-C เทากับ 43 mg/dL ซึ่งอยูในระดับปกติ คา LDL-C ที่คํานวณไดสูงมาก เมื่อเทียบกับเกณฑปกติที่ 100
mg/dL เมื่อประเมินแลว ผูปวยอยูในภาวะ Dyslipidemia ชนิด Combined hyperlipidemia แบบ secondary ซึ่งมี
ระดับ LDL สูงอยางชัดเจน เมื่อเทียบกับระดับ VLDL (เทากับ TG/5 = 48 mg/dL) สาเหตุของภาวะ Dyslipidemia ใน
ผูปวยรายนี้มาจากการใช Atenolol ซึ่งเปนยาลดความดันโลหิตกลุม BBs ดังที่ไดกลาวไปในสวนของ HTN
เมื่อนําคา TC และ HDL-C ไปคํานวณ CHD risk โดยใช Framingham risk scores และใชอายุของผูปวย
(57 ป) คา SBP (150 mmHg) และประวัติการสูบบุหรี่ (ไมสูบบุหรี)่ ประกอบการคํานวณ พบวาผูปวยจัดอยูในกลุม CHD
equivalents ซึ่งมี 10-year risk > 20% สงผลใหผูปวยมีแนวโนมการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจสูง ดังนั้นสิ่งที่สําคัญในการ
รักษาภาวะ DLP สําหรับผูปวยรายนี้ คือ ลดคา LDL-C ใหต่ํากวา 100 mg/dL พรอมกับลดระดับ TC และ TG ใหต่ํากวา
200 mg/dL และ 150 mg/dL ตามลําดับ โดยยังรักษาระดับหรือเพิ่ม HDL-C ใหสูงกวา 40 mg/dL เพื่อไมใหผูปวยมี
โอกาสเกิดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต
การรักษาชวงเริ่มตนสําหรับกรณีนี้จะเริ่มจากการใชยาเดี่ยว เพื่อลดระดับ LDL-C ใหถึงเปาหมาย (< 100 mg/dL)
โดยพิจารณาเลือกใชระหวาง Statins, Fibrates, หรือ Niacin จากการประเมินระดับไขมันในเลือดและคาตรวจผลอื่นๆใน
หองปฏิบัติการ พบวา Statins เปน Drug of choice ที่ดีที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพในการลดระดับ LDL-C ดีกวายาอีกสอง
กลุม โดย Statins ออกฤทธิ์ยับยั้ง HMG-CoA reductase ซึ่งเปน rate-limiting enzyme ในกระบวนการสังเคราะห
โคเลสเตอรอล สามารถลดระดับ LDL-C ได 18-55% ขณะที่ Fibrates และ Niacin สามารถลดระดับ LDL-C ลง 15 -
30% และ 5-20% ตามลําดับ นอกจากนี้ Niacin สามารถเพิ่มระดับกรดยูริกในเลือด โดยผูปวยรายนี้มีระดับกรดยูริกสูงกวา
ปกติ อันเปนผลจากการใชยา HCTZ ดังที่ไดกลาวไป การใช Niacin จะเพิ่มความเสี่ยงตอการเกิดโรคเกาทสําหรับผูปวย ดังนั้น
เพื่อไมใหการรักษามีผลกระทบคุณภาพชีวิตตอผูปวย จึงควรใหยากลุม Statins สําหรับการรักษาในเบื้องตน (ตามกรณีศึกษา
แพทยไดสั่งจาย Simvastatin ในขนาด 10 mg รับประทานแบบ 2 x 1 hs) จากนั้นจึงคอยพิจารณาเพิ่มกลุมยาลดไขมัน เพื่อ
ลดระดับไขมันในเลือดรางกายใหเปนไปตามเปาหมายโดยเร็วที่สุด กลุมยาทีส่ ามารถใชคูกับ Statins สําหรับภาวะ Combined
hyperlipidemia ไดแก Fibrates, Niacin และ Bile acid sequestrants
Fibrates ออกฤทธิ์กระตุน PPAR-α เพิ่มกระบวน oxidation ของกรดไขมันในตับและกลามเนื้อลาย เพิ่ม
กระบวนการ lipolysis ของ lipoprotein triglyceride ผานเอนไซม Lipoprotein lipase ทําใหมีผลลดระดับ TG ไดดี
โดยลดระดับ LDL-C ได 5-20% ลดระดับ TG ได 20-50% ขณะที่เพิ่มระดับ HDL-C ได 15-35% อยางไรก็ตามยากลุม
นี้ทําใหผูใชมีความเสี่ยงตอการเกิด Myopathy หรือ Rhabdomyolysis เชนเดียวกับยากลุม Statins การใชยารวมกัน
ระหวางสองกลุมจะเพิ่มโอกาสเสี่ยงตอ Myopathy หรือ Rhabdomyolysis เมื่อเทียบกับการใช Statins กลุมเดียว ทวา
โอกาสดังกลาวจากการใชยากลุม Statins หรือ Fibrates ทั้งแบบเดี่ยวหรือรวมกันมีคานอยกวา 1% นอกจากนี้การใชยา
รวมกันยังเพิ่มประสิทธิภาพการลด TG ขณะที่เพิ่มระดับ HDL-C ใหสูงขึ้น จึงตองพิจารณาขอดี-ขอเสียจากการใชยารวมกัน
และตรวจวัดระดับเอนไซม Creatine phosphokinase (CPK) ซึ่งเปน Clinical marker บงบอกภาวะ Myopathy และ
Rhabdomyolysis ถาระดับเอนไซมสูงกวา Upper normal limit 2.5 เทา แสดงวาผูปวยมีโอกาสเกิดภาวะดังกลาว
จําเปนตองพิจารณาหยุดยา เพื่อใหระดับเอนไซมกลับสูปกติ จึงคอยปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดยาใหเหมาะสมอีกครั้ง
Niacin ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม Lipase ภายใน Adipose tissue ผานทาง receptor-mediated signaling
และยับยั้งกระบวนการ Esterification ของ TG ที่ตับ โดยไมมีผลตอการสรางน้ําดี ลดการสราง VLDL โดยลดการปลอย
Free fatty acids ที่ตับ ทําใหลดระดับ LDL-C และ TG ตามมาดวย โดยสามารถลดระดับ LDL-C ได 5-25% และ TG
20-50% ขณะที่เพิ่ม HDL-C ได 15-35% อาการขางเคียงจากการใชยาตัวนี้ คือ Cutaneous flushing และ Itching
เนื่องจากยามีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดผานทาง PGs และเพิ่มความไวของหนวยรับอุณหภูมิที่ผิวหนัง อาจทําใหเกิดอาการขางเคียง
ที่ระบบทางเดินอาหาร ไดแก คลื่นไส อาเจียน เปนตน นอกจากนี้ยังทําใหเกิดความผิดปกติของเมตาบอลิซึมในรางกาย ระหวาง
การใชยาผูปวยจะมีโอกาสพบคาเอนไซมตับสูง (Liver function tests) ซึ่งอาจนําไปสูภาวะตับอักเสบ (Hepatitis) รวมถึง
ทําให hyperuricemia และ hyperglycemia การใชยาในขนาดสูงยังทําใหเกิด Acanthosis nigricans ซึ่งเปนอาการที่บง
บอกถึงภาวะ Insulin resistance โดยผิวหนังบริเวณขอพับตางๆจะมีสีเขมขึ้น จึงตองมีขอควรระวังสําหรับผูปวยเกาทและ
เบาหวาน และหามใชผูปวยที่มีปญหาตับบกพรอง
Bile acid sequestrants (BARs) ออกฤทธิ์จับน้ําดีในลําไสเล็ก และยับยั้งกระบวนการ Enterohepatic
circulation ของน้ําดี และเพิ่มการขับ acidic steroids ออกทางอุจจาระ มีผลกระตุนการสังเคราะหน้ําดีจากโคเลสเตอรอล ทํา
ใหเพิ่มการเก็บกลับโคเลสเตอรอลเขาสูเซลลตับ และเพิ่มจํานวน LDL receptors ที่เยื่อหุมเซลล เพิ่มอัตรา Catabolism ของ
LDL ทําใหลดระดับ LDL-C ในกระแสเลือดได 15-30% สวนระดับ HDL เพิ่มขึ้นไมมาก (3-5%) แตทําใหระดับ TG เพิ่ม
สูงขึ้น สําหรับผลขางเคียง ยาทําใหเกิดอาการของระบบทางเดินอาหาร ไดแก อาการคลื่นไส อาเจียน ปวดแนนทอง ทองอืด
ทองเฟอ และทองผูก ซึ่งสามารถแกปญหาทองผูกได โดยใชยาระบายชนิด Bulk laxatives และ Stool softeners ยายัง
รบกวนกระบวนการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมัน (Vit A, D, E, K) เมื่อใชยาในขนาดสูงขึ้น และลด Bioavailability
ของยาที่มีคุณสมบัติเปนกรด โดยเฉพาะ coumarin anticoagulants และ digoxin ซึ่งเปนยาที่มี NTI แคบ อาจทําใหระดับ
ยาแกวงจนเกิดอันตรายกับผูใชยาดังกลาว ที่สําคัญลักษณะของสีและรสชาติที่ไมเหมาะแกการรับประทาน อาจทําให
Compliance ของผูปวยไมดี ซึ่งแกปญหานี้ไดโดยนําไปผสมกับน้ําผลไม หรือรับประทานในรูปของยาเม็ดแทน
เมื่อพิจารณาประวัติของผูปวย พบวาผูปวยกําลังมีภาวะ Hyperuricemia หลังจากหยุดยากลุม Thiazide
diuretics การเพิ่ม Niacin มีผลทําใหระดับกรดยูริกในเลือดไมสามารถลดกลับสูปกติได เพิ่มความเสี่ยงตอการเกิดโรคเกาท
หากใชในระยะเวลานาน นอกจากนี้อาจทําใหผูปวยมีภาวะ Hyperglycemia จากการใชยา มีโอกาสทําใหเกิด Insulin
resistance และนําไปสูการเกิดโรคเบาหวานในภายหลัง สําหรับยากลุม BARs ทําใหเกิดอาการขางเคียงในระบบทางเดิน
อาหาร ทําใหผูปวยไมสามารถทนอาการขางเคียงจากยา ยายังรบกวนกระบวนการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เมื่อผูปวยใช
ยากลุมนีไ้ ประยะเวลานาน โดยไมไดรับวิตามินเสริม อาจทําใหเกิดภาวะพรองวิตามินเหลานี้ได ที่สําคัญผูปวยกําลังมีภาวะ
Hypertriglyceridemia ยากลุมนี้ทําใหระดับไตรกลีเซอไรดในเลือดไมสามารถลดลงกลับสูปกติได แตสวน Fibrates จะเพิ่ม
โอกาสการเกิด Myopathy หรือ Rhabdomyolysis หากใชรวมกับยากลุม Statins เมื่อใชยาในระยะเวลานาน (ผูปวยกําลัง
ใช Simvastatin อยู) แตโอกาสการเกิดภาวะดังกลาวต่ํากวา 1% ถือวาอยูในระดับต่ํา เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่เสริมกันใน
การลดระดับ TG และเพิ่ม HDL-C จากการใชยาทั้งสองกลุมรวมกัน ดังนั้นการใชยากลุม Fibrates รวมกับ Simvastatin
สําหรับผูปวยรายนี้นาจะเปนทางเลือกที่เหมาะสมในการลดระดับไขมันในเลือด อันเปนผลจากอาการไมพึงประสงคของ
Atenolol
ยาในกลุม Fibrates ที่ใชในการรักษาภาวะ DLP เปนหลักมีอยู 2 ตัวคือ Gemfibrozil และ Fenofibrate การเกิด
Myopathy หรือ Rhabdomyolysis จากการใชยารวมกันระหวาง Fibrates กับ Statins เปนผลจากการเกิดปฏิกิริยา
ระหวางกันของยาทั้งสองกลุม โดย Fibrates จะรบกวนกระบวนการเมตาบอลิซึมและการขับยากลุม Statins รวมถึงลด
กระบวนการ reuptake ยาเขาสูเซลลตับ และลดกระบวนการ Efflux จากเซลลในลําไสเล็ก, ตับ และไต ทําใหระดับ Statins
ในเลือดสูงขึ้นเมื่อใชรวมกับยากลุม Fibrates
เมื่อเปรียบเทียบ Pharmacokinetic interactions ระหวาง Gemfibrozil หรือ Fenofibrate เมื่อใชรวมกับ
Simvastatin พบวาคา AUC ของ Simvastatin สูงขึ้นหากใชรวมกับ Gemfibrozil เนื่องจาก Gemfibrozil สามารถ
ยับยั้ง CYP isoenzymes แบบ competitive โดยเฉพาะ CYP3A4 ทําใหลดการเมตาบอลิซึมและการกําจัด parent
compounds หรือ active hydroxyacid metabolites ของ Simvastatin (เปน CYP3A4 substrate) ที่ตับ ขณะที่
Fenofibrate ยับยั้ง CYP isoenzymes ไดนอย ทําให AUC ของ Simvastatin เมื่อใชรวมกับ Fenofibrate ต่ํากวา
นอกจากนี้ Fenofibrate ยังถูก metabolized ผาน Oxidative mechanism ที่ตับ โดยไมเกี่ยวของกับ CYP isozymes
ขณะที่ Gemfibrozil ตองผาน CYP isozymes แสดงใหเห็นวา Fenofibrate เกี่ยวของกับกระบวนการ metabolism ที่
ตับผาน CYP isozymes นอยกวา Gemfibrozil เนื่องจากระดับ Simvastatin ในเลือดจะมีสวนสัมพันธกับอัตราการเกิด
Myopathy หรือ Rhabdomyolysis การใชยารวมกันระหวาง Simvastatin – Fenofibrate จึงมีแนวโนมการเกิด
Myopathy หรือ Rhabdomyolysis ต่ํากวา Simvastatin – Gemfibrozil
นอกจากนี้ Half life และ Tmax ของ Fenofibrate ยาวนานกวา Gemfibrozil (6-8 h และ 19-27h VS 1-2
h และ 1.3 h) ทําใหวิธีการให Fenofibrate จะสะดวกกวา Gemfibrozil โดย Gemfibrozil ตองใหครั้งละ 300-600
mg วันละสองครั้ง เชา-เย็น กอนอาหาร 30 นาที สวน Fenofibrate สามารถใหวันละครั้งในขนาด 100-300 mg กอนหรือ
พรอมอาหาร Compliance จากการรับประทาน Fenofibrate จึงดีกวา Gemfibrozil
จากขอมูลเบื้องตนเห็นไดวา Fenofibrate เปนตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ในการใชรวมกับ Simvastatin โดยปรับ
ขนาดและวิธีการรับประทาน Simvastatin เปน 10 mg OD hs รวมกับ Fenofibrate ขนาดเริ่มตน 100 mg OD pc เชา
เพื่อเสริมฤทธิ์การลดระดับไขมันในเลือดใหเปนไปตามเปาหมาย โดยลดโอกาสเสี่ยงตอภาวะ Myopathy หรือ
Rhabdomyolysis อันจะกระทบคุณภาพชีวิตของผูปวยในระดับต่ําที่สุด
Plan
Goal: ลดความเสี่ยงตอโรคหัวใจและหลอดเลือดโดย
1.) ลดระดับความดันโลหิตใหต่ํากวา 140/90 mmHg
2.) ลดระดับไขมันในเลือดใหต่ํากวาเปาหมาย โดย
Total cholesterol < 200 mg/dL
LDL-cholesterol < 100 mg/dL
Triglyceride < 150 mg/dL
HDL-cholesterol > 40 mg/dL
Therapeutic plan:
ยาสําหรับการรักษาภาวะ HTN: 1.) Valsartan 160 mg ½ x 1 pc
2.) Doxazosin 1 mg OD hs
ยาสําหรับการรักษาภาวะ DLP: 1.) Simvastatin 10 mg OD hs
2.) Fenofibrate 100 mg OD pc เชา
Monitoring plan:
1.) ตรวจวัดระดับความดันโลหิตเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษาและปรับขนาดยา จนกระทั่งระดับความดัน
โลหิตถึงเปาหมาย
2.) หากระดับความดันโลหิตถึงระดับเปาหมายและคงที่ ให follow-up ผูปวยทุก 3-6 เดือน เพื่อติดตามระดับความดัน
โลหิตอยางตอเนื่อง
3.) ติดตามวัดระดับไขมันในเลือดครั้งแรก 6-8 สัปดาหหลังจากเริ่มตนใหยา Simvastatin เพื่อดูผลการใชยาเมื่อเทียบ
กับตอนเริ่มตน และตรวจสอบวาผูปวยมี Adherence ในการรับประทานยาที่ดี และติดตามตออีก 6-8 สัปดาห
หลังจากเพิ่ม Fenofibrate เขาไปในแผนการรักษา
4.) เมื่อระดับไขมันในเลือดเปนไปตามเปาหมาย ให follow-up ทุก 4-6 เดือน เพื่อใหผูปวยมี adherence ที่ดใี นการ
รักษาระยะยาว
ADRs plan:
1.) ตรวจวัดระดับ K+ และ SCr (Normal range: 3.5-5 mmol/L และ 0.5-1.5 mmol/L ตามลําดับ) อยางนอย
1-2 ครั้งตอป เพื่อประเมิน Renal function หลังจากการใช Valsartan เพื่อปองกันภาวะ Hyperkalemia และ
Renal insufficiency
2.) หากพบวาผูปวยมีอาการแสดงของ Orthostatic hypotension บอยครั้งจากการใชยาเปนระยะเวลานาน แจง
แพทยใหทราบ เพื่อปรับเปลี่ยนขนาดหรือวิธีการใหยาอยางเหมาะสม
3.) ตรวจวัดระดับ Creatine kinase (CK) ตั้งแตกอนใหการรักษาดวย Simvastatin – Fenofibrate
combination เพื่อเปน baseline เทียบกับชวง Follow-up เพื่อประเมินความผิดปกติของกลามเนื้อ ซึ่งอาจนําไปสูภาวะ
Myopathy (Normal range of CK: 20-195 U/L)
4.) หากระดับ CK สูงกวา 10 เทาของ ULN โดยผูปวยมีอาการปวดของกลามเนื้อรวมดวย ควรแจงแพทยใหหยุดการใช
Simvastatin – Fenofibrate combination เนื่องจากมีความเปนไดที่ผูปวยจะเกิดภาวะ Rhabdomyolysis เมื่อ
ระดับเอนไซมกลับสูปกติ จึงคอยเริ่มการใหยาอีกครั้ง ในขนาดที่ต่ํากวา
5.) ประเมินระดับ ALT/AST ประมาณ 12 สัปดาหหลังเริ่มตนให Simvastatin – Fenofibrate combination
จากนั้นประเมินเปนรายป เพื่อดู Liver function tests หลังจากการใชยาทั้งสองชนิด (Normal range: ALT 5-40
U/L และ AST 5-40 U/L)
Educational plan:
1.) แนะนําใหผูปวยรับประทานยาอยางสม่ําเสมอตามขนาดและวิธีที่ระบุ
2.) หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสเค็มจัดและไขมันสูง
3.) แนะนําใหผูปวยลดน้ําหนักอยางชาๆ เพื่อควบคุม BMI ใหอยูในชวง 18 – 23 kg/m2 โดย
- ออกกําลังกายเปนประจํา โดยควรใหไดครั้งละ 30 – 45 นาที อยางนอย 2-3 ครั้งตอสัปดาห
- ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยใหรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ํา นาตาลต่ํา เนนอาหารจําพวกผัก-ผลไมที่ใหเสน
ใยสูง เชน คะนา, กวางตุง, ผักบุง, สม, ฝรั่ง เปนตน
4.) แนะนําใหผูปวยพักผอนใหเพียงพอตามปกติ
Future plan:
หากความดันโลหิตของผูปวยยังไมสามารถลดลงไดตามเปาหมายหลังจาก follow-up 1-2 ครั้ง จะตองปรับขนาดการให
Valsartan 160 mg จาก ½ x 1 pc เปน 160 mg 1 x1 pc และประเมิน Renal function หลังจากปรับขนาดยาเปน
ระยะ
ในกรณีภาวะไขมันในเลือดสูง หากระดับไขมันในเลือดไมสามารถลดลงจนถึงระดับเปาหมาย หลังจาก Follow-up 6-8
สัปดาหหลังการรักษา เพิ่มขนาด simvastatin เปน 20 mg 1 x1 hs ใหรวมกับ Fenofibrate ขนาดเทาเดิม และประเมิน
ระดับ CK, ALT/AST เปนระยะ
ทั้งนี้ควรประเมิน Adherence ของผูปวยระหวางการใชยา และแนะนําใหผูปวยควบคุมพฤติกรรม - การดําเนิน
ชีวิตประจําวันของตนอยางเครงครัด เพื่อใหระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือดสามารถลดลงไดถึงระดับเปาหมาย
References
1.) National Heart, Lung, and Blood Institute. The Seventh Report of the Joint National
Committee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure
(JNC 7). 2003; [104 screens]. Available at: URL:
http://www.nhlbi.nih.gov/guidelines/hypertension/jnc7full.htm. Accessed March 20, 2010.
2.) Mancia G, De Backer G, Dominiczak A, Cifkova R, Fagard C, Germano G, et al. 2007
ESH-ESC Practice Guidelines for the Management of Arterial Hypertension. J Hypert.
2007;25:1751-62.
3.) National Heart, Lung, and Blood Institute. Third Report of the Expert Panel on Detection,
Evaluation, and Treatment of High Blood Cholesterol in Adults (ATP III Final Report).
2004; [284 screens]. Available at: URL:
http://www.nhlbi.nih.gov/guidelines/cholesterol/atp3_rpt.htm Accessed March 20, 2010.
4.) Hahn M, Sriharan K, McFarland MS. Gemfibrozil-induced myositis in a patient with
normal renal function. Ann Pharmacother. 2010;44(1):211-4.
5.) Jacobson TA. Myopathy with statin–fibrate combination therapy: clinical considerations.
Nat Rev Endocrinol. 2009; 5(9):507-18.
6.) Saseen JJ, Carter BL. Hypertension. In: DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, et al editors.
Pharmacotherapy: a pathophysiologic approach. 6th ed. New York: McGraw-Hill; 2005. p.
185-218.
7.) Talbert RL. Dyslipidemia. In: DiPiro JT, Talbert RL, Yee GC, et al editors.
Pharmacotherapy: a pathophysiologic approach. 6th ed. New York: McGraw-Hill; 2005.
p.429-452.
8.) Subramanian A, Wickersham RM, Schweain SL, et al editors. Drug Facts and Comparisons
2009. 63rd ed. Baltimore: Lippincott Williams & Wilkins; 2008.
9.) Katzung BG, Master SB, Tervor AJ, editors. Basic and clinical pharmacology. 11th ed. New
York: McGraw-Hill Medical; 2009.
10.) Brunton LL, Lazo JS, Parker KL, editors. Goodman & Gilman’s the pharmacological basis
of therapeutics. 11th ed. New York: McGraw-Hill; 2006.
11.) Aronson JK, editor. Meyler's side effects of drugs: the international encyclopedia of
adverse drug reactions and interactions. 15th ed. California: Elsevier Science; 2006.