Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
เรื่อง
การหลอระฆังแบบโบราณ
โดย
กลุมวิชาการดานชางศิลปะไทย
สํานักชางสิบหมู กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม
คํานํา
วาที่พ.ต.สืบสกุล ออนสัมพันธุ
---------------
จากเอกสารและหลักฐานที่ปรากฏพบวาผูมีความรูความชํานาญในการออกแบบและสรางระฆัง
แบบโบราณมีจนวนไมมากนัก และทํากันเปนการเฉพาะกลุมในวงศญาติสนิทเทานั้น อีกทั้ง
สถานศึกษาที่มีการผลิตและฝกอบรมดานชางศิลปกรรมไมพบวามีการจัดการสอนดานนี้อยาง
แพรหลาย อาจเปนเพราะอิทธิพลในความตองการของตลาดมีนอยและไมมากนักจึงขาดการสานตอ
ความเปนมา
ของ
การหลอโลหะ
แนวคิดการสรางระฆัง
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
ในภูมิภาคตะวันตก
วัตถุที่เกี่ยวของกับการทําสําริดที่พบที่บานเชียงมีทั้งเบาดินเผาสําหรับหลอมโลหะ และ
แมพิมพหินทรายสําหรับหลอโลหะ ซึ่งหลักฐานแสดงวามีการหลอโลหะขึ้นเองที่บานเชียง สวน
วัตถุสําริดที่ผลิตขึ้นนั้นมีทั้งใบหอก หัวขวาน หัวลูกศร กําไลขอมูล กําไลขอเทา เบ็ดตกปลา วัตถุ
สําริดที่มีความเกาแกที่สุดที่พบที่บานเชียง คือ ใบหอก ที่พบที่หลุมฝงศพหลุมหนึ่งของระยะที่ 3
ของบานเชียงสมัยตน ซึ่งเปนหลุมฝงศพที่มีอายุราว 4,000 ปมาแลว การวิเคราะหองคประกอบทาง
เคมีของใบหอกนี้ พบวาเปนสําริด ทีม่ ีดีบุกผสมอยูประมาณ 3 % ซึ่งจัดวาเปนดีบุกที่อยูในระดับต่ํา
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
ต่ํากวาในสําริดชนิดสามัญ สวนการวิเคราะหลักษณะผลึกของโครงสรางภายในของใบหอกสําริดนี้
พบวา ขั้นตอนแรกในการผลิต คือ การหลอโดยใชแมพิมพชนิด 2 ชิ้นประกบกัน จากนั้นก็มีการนํา
ใบหอกที่หลอไดไปตีขึ้นรูปในขณะที่เย็น เพื่อตกแตงรูปรางใหสมบูรณ แตเนื่องจากการตีในขณะที่
โลหะเย็นนั้น ทําใหโครงสรางเดิมของโลหะเกิดการบิดเบี้ยว และคุณสมบัติของโลหะสําริด
เปลี่ยนไปเปนมีความเปราะมากขึ้น จึงมีการนําเอาใบหอกชิ้นนี้ไปลดความเปราะที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
การตีขณะเย็นโดยการเผาใบหอกใหรอนจนเปนสีแดง แลวทิง้ ใหเย็นตัวลงอยางชาๆ กรรมวิธีการใช
ความรอนชวยในการลดความเปราะและทําใหมีความเหนียวเพิ่มขึ้นแกโลหะสําริด เชนนี้ เรียกวา
วิธี “แอ็นนิลลิ่ง”(annealing)
จากรองรอยของผลึกโลหะที่แสดงชัดเจนวาใบหอกสําริดชิ้นนี้ทําโดยผานกรรมวิธีแอ็นนีลลิ่งดวย
นั้นชี้ใหเห็นวาชางสําริดรุนแรกของบานเชียงมีความรูและความเขาใจในเทคนิคของการโลหะกรรม
สําริดเปนอยางดี และนอกเหนือจากการหลอสําริดดวยแมพิมพชนิด 2 ชิ้นประกบกันแลว ชางสําริด
สมัยแรกๆของบานเชียงเมื่อระหวาง 3,000-4,000 ปมาแลว ยังทําการหลอโลหะดวยวิธี หลอแบบ
ขี้ผึ้งหาย “Lost-wax casting” อีกดวย กําไลสําริดแบบที่มีลูกกระพรวนประดับ ซึ่งเปนเครื่องประดับ
ที่พบมาตั้งแตชวงระยะทายๆ ของวัฒนธรรมบานเชียงสมัยตนลวนแตหลอขึ้นมาดวยวิธีนี้ทั้งสิ้น
วิธีการถลุงดังที่กลาวมาจะไมทําใหเหล็ก
หลอมเหลว แตจะเกิดการรวมตัวกันเปน
เป น ก อ นดลหะ ที่ มี รู พ รุ น ขนาดเล็ ก ๆ
มากมายในโครงสร า งที่ มี ธ าตุ ค าร บ อน
ผสมอยูนอยกวา 0.5 % จัดเปนเหล็กออน
(wrought iron) ซึ่งเกือบเปนเหล็กบริสุทธิ์
สามามรถนํ า ไปตี ขึ้ น รู ป เป น เครื่ อ งมื อ
เครื่องใชไดโดยงาย
การใหความรอนโดยใชเปลวไฟสัมผัสโดยตรงกับโลหะ โดยใชสูบลมแบบโบราณ ในงานตีเหล็ก
วิธีการทําเครื่องมือจากโลหะกลุมเหล็กในสมัยโบราณประกอบดวยการตีขึ้นรูปในขณะที่
เหล็กยังรอน (Hot working) กรรมวิธกี ารตีเหล็กทําไดโดย การนําเหล็กมาเผาในเตาใหรอนแดงกอน
แลวจึงนํามาตีดวยพะเนินบีบ และรีดดวยเหล็กใหมีการเปลี่ยนรูปรางลักษณะตามที่ตองการ หาก
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
เหล็กเย็นตัวลงตองนํากลับมาเผาใหความรอนแดงใหมอีกครั้งกอนนํามาตีซ้ําอีกทําสลับกันอยางนี้
ไปเรื่อยๆ จนกวาจะไดจะไดรูปรางและขนาดตามที่ตองการ หลังจากนั้นจึงนํามาทํากรรมวิธีใน
ขั้นตอนสุดทาย คือ “การชุบ” ขั้นตอนนี้โดยการนําเครื่องมือเหล็กมาเผาใหรอนแดงอีกครั้งกอน
นําไปจุมแชลงในน้ําเย็นทันที การทําเชนนี้ทําใหโครงสรางภายในเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเปนหลักการ
ทางโลหะวิทยาที่นํามาใชเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางกลขอเหล็กกลาใหมคี วามแข็งเพิ่มสูงขึ้น
ผลการวิเคราะหเครื่องมือเหล็กรุนแรกๆของบานเชียง แสดงใหเห็นวาชางเหล็กสมัยกอน
ประวัติศาสตรในประเทศไทย มีความรูในดานเทคนิคกรรมวิธีการตีเหล็ก และการชุบเหล็กตาม
วิธีการที่กลาวมาขางตนเปนอยางดีพัฒนาการดานโลหะกรรมที่สําคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น
ในชวงสมัยกอนประวัติศาสตรตอนปลายเมื่อราว 2,500-2,300 ปมาแลว คือ การทําสําริดชนิดทีม่ ี
ดีบุกผสมในปริมาณสูง (high tin bronze) หมายถึงสําริดที่มีดีบุกผสมอยูมากถึง 20 % ปริมาณของ
ธาตุดีบุกที่มีสูงมากๆมีผลทําให โลหะผสมมีความแข็งและเปราะมาก มีสีออกสีคลายทอง และสีเงิน
โดยขึ้นกับปริมาณดีบุกที่ผสม คุณสมบัติดานความแข็งแตเปราะของโลหะผสมชนิดนี้เปนขอจํากัด
ที่ไมสามารถผลิตชิ้นงานเครื่องมือเครื่องใชใหไดคุณสมบัติตรงตามที่ตองการใชงานไดยากโดย
วิธีการหลอแบบธรรมดา แตจะตองประยุกตเอาวิธีการตีขึ้นรูปแบบเดียวที่ใชกับเหล็กมาใชรวมดวย
จึงจะไดงานที่คุณสมบัติตรงตามที่ตองการใชงาน คือ มีความแข็ง แตไมเปราะ วิธีการดังกลาวคือ
การเผาใหรอนแดงและตีในขณะที่รอน ทําสลับกันระหวางการเผาและการตีทําตอเนื่องไปเรื่อยๆ
จนกวาจะไดรูปรางตามที่ตองการ และรอบสุดทายจึงนําไปชุบลงไปในน้ําเย็นทันที วิธีการทําดวย
เทคนิคนี้ ทําใหชางโลหะสามารถทําเครื่องประดับและภาชนะสําริดที่มีความแข็งมาก มีความ
ทนทาน และมีสสี วยงามกวาสําริดธรรมดาจากผลการศึกษาวิเคราะหของตัวอยางที่ขุดพบที่บาน
เชียง บงชี้ใหเห็นถึงพัฒนาการทางดานการโลหะกรรมของคนสมัยกอนประวัติศาสตรในพื้นที่ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเปนอยางดีดังที่ไดกลาวมาขางตน
สําหรับงานหลอแบบขี้ผึ้งหายในปจจุบันมีการพัฒนากระบวนการผลิตใหทันสมัยเพื่อใหไดสามารถ
ผลิตงานไดทั้งปริมาณและคุณภาพตามที่ตองการ สามารถหลอไดทั้งงานที่เปนโลหะกลุมที่เปน
เหล็กและไมใชเหล็ก ตัวอยางเชน หัวไมตีกอลฟ ชิ้นสวนในเครื่องยนตของเครื่องบิน และอากาศ
ยานตางๆ เครื่องมือ ทางการแพทย และอุตสาหกรรมการทําเครื่องประดับเปนตน เตาหลอมที่ใชใน
การหลอมหลอในปจจุบัน มีการนําเอาเชื้อเพลิงชนิดตางๆมาใชใหเหมาะสมกับ ชนิดของวัตถุดิบที่
นํามาหลอมหลอ (ขึ้นกันจุดหลอมเหลว) ซึ่งมีทั้ง ไฟฟา แกส ถานโคก และถานไม เปนตน จึงทําให
ขอจํากัดในการผลิตงานหลอลดนอยลง สามารถหลอมหลองานไดหลากหลายมากขึ้น เทคโนโลยี
ในงานหลอ ไดมีการสรางและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อมาใชกับกระบวนการทํางานหลอมากขึ้น เชน
เทคโนโลยีการออกแบบงานหลอ การออกแบบเตา เทคโนโลยีในขั้นตอนการทําแบบหลอทราย
การควบคุมคุณภาพของน้ําเหล็ก การตรวจสอบงานหลอใหเปนไปตามมาตรฐาน กอนการนําสง
แผนภูมิแสดงการแบงประเภทงานหลอตามชนิดของแบบหลอ
การออกแบบสรางระฆังในประเทศไทย สันนิษฐานมีการพัฒนาและสืบทอดกัน
มาเปนเวลานาน และทํากันเปนการเฉพาะกลุมหรือสกุลชางมีเอกลักษณเฉพาตัวเปนกรอบและ
ลักษณะประจําของกลุมชางนั้นๆทั้งนี้จะมีความแตกตางกันในเรื่องของเสียง เนื่องดวยเสียงของ
ระฆังจะมีคาความแปรผันจากวัสดุที่ใชผสมสําหรับการหลอโดยจะวัดคาของระฆังดวยการตีและมี
ความดังกังวานมากนอยกวากันเพียงใด
วัสดุ อุปกรณและเครื่องมือ
วัสดุโลหะในการหลอระฆังประกอบดวย
๑ ทองแดง ๒ ดีบุก ๓ สังกะสี ๔ ตะกั่ว
ทองแดง
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
ดีบุก
คุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุตางๆ
2.2 การจําแนกสาร
ในโลกของเรามีสารตางๆเปนจํานวนมาก ในปจจุบันมนุษยรูจักสารมากกวาสองลานชนิด
ซึ่งสาร
บางอยางก็มีสมบัติคลายกัน บางอยางก็มีสมบัติแตกตางกัน เพื่อสะดวกในการศึกษาคนควา จึงตอง
มีการจําแนก
หรือจัดหมวดหมูของสาร โดยอาศัยสมบัติตางๆของสารเปนเกณฑตางๆ เชน การนําไฟฟา สถานะ
องคประกอบทางเคมีของสาร การละลาย ลักษณะเนื้อของสาร ขนาดอนุภาค เปนตน
จงจัดหมวดหมูของสารตอไปนี้พรอมทั้งบอกเกณฑในการจัดหมวดหมูดวย น้ําตาลทราย
น้ําเชื่อม เกลือแกง น้ําสมสายชู ลูกเหม็น น้ํากลั่น น้ําแข็ง เหล็ก ทองแดง กระดาษ ปากกา น้ําหมึก สี
น้ํา อากาศ กาซหุงตม
ของสิ่งของเหลานั้นพรอมทั้งบอกเกณฑในการจัดหมวดหมูดวยเพื่อใหการจัดหมวดหมูของสาร
เปนไปใน แนวทางเดียวกัน และเปนสากล จึงใชลักษณะเนื้อของสารเปนเกณฑในการจัดหมวดหมู
ของสาร ซึ่งสามารถจัดไดดงนี้
1. สารเนื้อเดียว (Homogeneous substance) หมายถึง สารที่มีลักษณะเนื้อของสารและสมบัติ
เหมือนกันตลอดทั้งมวลของสารนั้น เชน น้ําเกลือ น้ํากลั่น ทองแดง ลูกเหม็น น้ําตาลทราย
แอลกอฮอล เปนตน
2. สารเนื้อผสม (Heterogeneous substance) หมายถึง สารที่มีลักษณะเนื้อของสารและสมบัติ
ไมเหมือนกันตลอดทั้งมวลของสารนั้น สามารถเห็นองคประกอบที่แตกตางกันได เชน ดินปน
พริกกับเกลือ น้ําโคลน น้าํ แปง คอนกรีต เปนตน
การทดลองที่ 4 การศึกษาสมบัติของธาตุ
1. ศึกษาความแข็งและความเหนียว ของ ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว ถาน แกรไฟต โดย
การสังเกต และตีดวยฆอน
2. ศึกษาการนําไฟฟาของ ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว ถาน แกรไฟต
3. ศึกษาการนําความรอนของ ทองแดง สังกะสี ตะกั่ว ถาน แกรไฟต
โดยใช ความเหนียวและความแข็ง การนําไฟฟา และ การนําความรอน เปนเกณฑวาสารใดควรจัด
อยูในพวกเดียวกันมีสารใดเปน โลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ
ธาตุโลหะ (Metal) เปนธาตุที่มีสมบัติ ดังนี้
1. มีสถานะเปนของแข็ง ยกเวนปรอทเปนของเหลว
2. แข็งเหนียว ดึงเปนเสนและตีเปนแผนได
3. เคาะมีเสียงดังกังวาน
4. มีผิวมันวาว สะทอนแสงไดดี
5. เปนตัวนําความรอนและไฟฟา
6. สวนใหญจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง
เปรียบเทียบขนาดของอนุภาคในสารละลายกับสารเนื้อผสม
ชนิดของสาร เสนผาศูนยกลางของอนุภาค(cm)
1. สารละลาย นอยกวา 10-7
2. คอลลอยด 10-7– 10-4
3. สารแขวนลอย มากกวา 10-4
คอลลอยด (Colloid) เปนสารเนื้อผสมที่มีขนาดอนุภาคของตัวถูกละลายใหญกวาอนุภาคใน
สารละลายมีลักษณะขนคลายกาว เชน นมสด วุน เยลลี่ ฟองน้ํา สบู น้ําสลัด น้ําแปง เปนตน
องคประกอบของคอลลอยดจะไมรวมเปนเนื้อเดียวกัน จะแยกชั้นออกจากกัน จึงตองมีตัวประสาน (
Emulsifier) เชน น้ําสบูเปนตัวประสานใหน้ํากับน้ํามันไมแยกชั้นจากกัน โดยน้ํามันจะแตกเปนเม็ด
เล็กๆ แทรกอยูในน้ํา สมบัติอีกอยางหนึ่งของคอลลอยด คือ เมื่อแสงเดินทางผานคอลลอยด จะ
มองเห็นเปน ลําแสง เรียกปรากฏการณนี้วา ปรากฏการณทินดอลล(Tyndall effect) สารแขวนลอย
(Suspension) เปนสารเนื้อผสมที่มีขนาดอนุภาคใหญกวาอนุภาคในคอลลอยด สามารถ
มองเห็นสวยผสมไดชัดเจน เชน น้ําโคลน คอนกรีต น้ําพริก ดินปน เปนตน
ตารางแสดงเนื้อดินชนิดตางๆ ในแตละกลุมเนื้อดิน
ชนิดเนื้อดิน กลุมเนื้อดิน
๑. ดินเหนียว กลุมดินเหนียวที่มีอนุภาคดินเหนียวตั้งแต ๔๐% ขึ้นไป
การถลุงทองแดง
กําจัดไอรออน(II)ออกไซดออกไป โดยนําผลิตภัณฑที่ไดไปเผารวมกับออกไซดของซิลิคอนใน
เตาถลุงอุณหภูมิประมาณ 1100 cํ ไอรออน(II)ออกไซดจะทําปฏิกิริยากับออกไซดของซิลิคอนได
กากตะกอนเหลวซึ่งแยกออกมาได ดังสมการ
สวนคอบเปอร(II) ซัลไฟดเมื่ออยูในที่มีอุณภูมิสูงจะสลายตัวไดเปนคอบเปอร(I)ซัลไฟดใน
สถานะของเหลวซึ่งสามารถแยกออกได
ในขั้นตอนสุดทายเมื่อแยกคอปเปอร(I)ซัลไฟดในอากาศ บางสวนจะเปลี่ยนเปนคอปเปอร
(I)ออกไซดดังสมการ
ทองแดงที่ถลุงไดในขั้นนี้ยังมีสิ่งเจือปนจึงตองนําไปทําใหบริสุทธิ์กอน การทําทองแดงใหบริสุทธิ์
โดยทั่วไปจะใชวิธีแยกสารละลายดวยกระแสไฟฟา
• สายลวดทองแดง
• ทอน้ําทองแดง
• ลูกบิด และของอื่น ๆ ที่ติดตั้งในบาน
• รูปปน เชนเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ซึ่งมีทองแดงถึง 81.3 ตัน
• หลังคา รางน้ํา และทอระบายน้ําฝน
• แมเหล็กไฟฟา
• เครื่องจักรไฟฟา โดยเฉพาะมอเตอรแมเหล็กไฟฟาและเครื่องกําเนิดไฟฟา
• เครื่องยนตไอน้ํา ของ เจมส วัตต
• รีเลยไฟฟา และสวิตชไฟฟา
• รางน้ําบนหลังคาและทอระบายน้ํา
• หลอดสูญญากาศ หลอดรังสีคาโทด (cathode ray tube) และแมกนีตรอนในเตาอบ
ไมโครเวฟ
• หลอดนําคลื่นไฟฟา (Waveguide) สําหรับรังสีไมโครเวฟ
• มีการใชทองแดงเพิ่มขึ้นในวงจรไอซีแทนอะลูมิเนียมเนื่องจากนําไฟฟาไดดีกวา
• ผสมกับนิกเกิล เชนคิวโปรนิกเกิล (cupronickel) and โมเนล (Monel) ใชเปน
วัสดุที่ไมกรอนสําหรับสรางเรือ
• เปนเหรียญกษาปณ ในรูปของโลหะคิวโปรนิกเกิลสวนใหญ
• ในอุปกรณทาํ ครัว เชนกระทะ
• อุปกรณที่ใชบนโตะอาหารสวนใหญ (มีด สอม ชอน) มีทองแดงบางสวน (นิกเกิล ซิลเวอร)
• เงินสเตอรลิงจะตองผสมทองแดงเล็กนอย ถาทําเปนภาชนะสําหรับอาหาร
• เปนสวนประกอบของสารเคลือบเงาสําหรับเครื่องเซรามิก และเปนสีสําหรับกระจก
บทที่๕ เทคนิคและวิการในการสรางระฆังแบบโบราณ
ขั้นตอนในการออกแบบ
1 ศึกษากําหนดรูปทรงของระฆัง
2 เขียนแบบรูปทรงของระฆัง 12. การเขาดินแก
3 ขึ้นรูปดวยดินเหนียว 13. การเขาเหล็ก
4. หมุนกลึงและขึ้นรูปตามแบบ 14. การเขาดินทับเหล็ก
5. ตกแตงผิวใหเรียบสะอาด 15. การขึ้นทน
6. ทาน้ํามูลโด 16. การกอเตาพิมพ
7. การทาขี้ผึ้ง 17. การเผาพิมพ
8. การเขาขี้ผึ้ง 18.การสํารอกขี้ผึ้ง
9. การติดดินชนวน 19.การสุมหุน
10 การทาขี้ผึ้ง 20.การเทน้ําโลหะ
11.การเขาดินออน 21 การแตงผิวโลหะ.
ทาน้ํามูลโคลงบนไสแบบ (ดินใน)
ไสแบบที่คลึงไดขนาดสวนที่แหงดีแลว ผิวหนาของไสแบบยังเรียบไมพอ จําเปนที่จะตองทําให
เรียบโดยใชน้ํามูลโคแตะทาทับลงไปประมาณ 5 – 6 ครั้ง โดยใชแรปงทาสีจุมน้ํามูลโค ที่ผสมตาม
อัตราสวน แตะทาลงบนไสแบบใหทั่ว วิธีการแตะทาน้ํามูลโคใหใชแปรงทาสีจุมน้ํามูล ใหชุม
พอประมาณพอประมาณ แลวใชดานขางของขนแปรงคอย ๆ แตะลงบนผิวของไสแบบ และทุกครัง้
กอนที่จะแตะทาซ้ําพื้นผิวเดิม จะตองแหงสนิททุกครั้ง
การทาขี้ผึ้ง
นําขี้ผึ้งชัน ที่ตั้งไฟละลายได ที่แลวใชแปรงทาสีจุมแลว ทาทับลงไปบนผิวของน้ํามูลโค ใหไดความ
หนาประมาณ 1 มิลลิเมตร และที่สําคัญจะตองทาใหผิวเรียบ
เทคนิการทําน้ําขี้ผึ้งใหเรียบ
1. ขี้ผึ้งจะตองรอนพอเหมาะ
2. การทาจะตองทาไปทางเดียว
3. จุมน้ําขี้ผึ้งพอประมาณ
4. ขนแปรงจะตองไมสั้นจนเกินไป
การเขาขี้ผึ้ง
นําขี้ผึ้งขัน ที่ละลายเปนน้ํามาเทลงใสในกระปองที่ใสน้ําไว แลวใชมือบีบนวดขี้ผึ้งจน มีความ
เหนียวนุมแลว ทําใหเปนแผนเรียบใหมีขนาดความหนาขางหนึ่ง 1.5 เซนติเมตร คอย ๆ ลดขนาดลง
จนถึงอีกดานหนึ่งใหไดขนาดความหนา 1 เซนติเมตร และแผนขึ้ผึ้งจะมีความกวาง 35 เซนติเมตร
และมีความยาว 55 เซนติเมตร โดยการนําไมกระดานแฟนเรียบที่มีความกวาง 80 เซนติเมตร และมี
ความยาว 100 เซนติเมตร ปลายไมขางหนึ่งมีความหนา 2 เซนติเมตร และอีกขางหนึ่งมีความหนา 1
เซนติเมตร วางลงตรงริมขอบของแผนบนไมกระดาน แลวใชทอเหล็กกลมกลิ้งบดไปบนไมแบบ ที่
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
วางไวจนสุดปลายไมแบบอีกขางหนึ่ง ก็จะไดขี้ผึ้งแผนที่มีขนาดตามความตองการ นําเทือกมาทาลง
บนแผนขึ้นผึ้งนําปดกดทับใหแนบแนน บนขึ้ผุงที่ทาอยูบนไสแบบ (เทือก คือ น้ํายางเหนียวไดมา
จากสวนผสมของน้ํามันยาง กับชันผงผสมกันและนําไปตั้งไฟใหรอนกวนใหเขากันจนมีความ
เหนียว) นําไสแบบที่เขาขี้ผึ้งมาวางใสในกระสวยอันเดียวกัน กับตอนกึงไสแบบแลวหมุนกคลึงขึ้น
ผึ้ง ดวยเครื่องมือเหลกที่มีขนาดและรูปรางตาง ๆ จนกวาผิวของขี้ผึ้งจะเรียบ และไดรูปรางลักษณะ
ของรูประฆังตามแบบ แลวยกออกจากกระสวย นําโกงของระฆังที่ออกแบบไว ปนเสร็จเปนขี้ผึ้งมา
ติดประกอบ พรอมลวดลายตาง ๆ เสร็จจะไดรูปตนแบบรูประฆังที่พรอมที่จะดําเนินการตาม
ขั้นตอนของงานหลอโลหะ
วิธีการทาน้ํามูลโค
กอนที่จะทาน้ํามูลโค ลงบนพื้นผิวงานหุนรูประฆัง ที่เปนรูปขี้ผึ้งตองทําความสะอาดกอนดวย น้ํา
ผสมผงซักฟอกแลว ไมตองลางออกดวยน้ําเปลา ปลอยทิ้งไวใหแหงสนิท นําน้ํามูลโคที่ผสมดิน
นวลแลว ตามอัตราสวนใสภาชนะ ใชแหรงทาสีจุมน้ํามูลโคทาลงบนพื้นผิวงานใหทั่ว แลวปลอยทิง้
ไวใหแหงสนิท ในขณะที่จุมแปรงทาน้ํามูลโคใหใชแปรงกวนน้ํามูลดวย เมื่อแหงแลว ทาทับลงไป
อีกใหไดความหนาประมาณหนาพอประมาณ หรือ 5-6 ครั้ง วิธีการทาใหใชดานขางของขนแปรง
แตะลงไปบนผิวงาน การทําเชนนี้ก็เพื่อไมใหผิวน้ํามูลโค ที่ทาไวกอนแลวลอนหลุดออกมาตาม
แปรง ขณะทาจึงใชวิธีการแตะ ประโยชนของน้ํามูลโคที่ทา ก็เพื่อจะทําหนาที่เก็บรายละเอียดความ
คมชัดของผิวงาน
การเผาพิมพหรือสุมหุน
เมื่อขี้ผึ้งไหลออกมาหมด ใหคอย ๆ เพิ่มความรอนขึ้นทีละนอย จนถึงอุณหภูมิ 250 องศาเซลเซียส
เพื่อใหขี้ผึ้งที่เหลือตกคางอยูภายใน ตามซอกเล็กไหลออกจนแหง สังเกตที่รูกระบวน วามีขี้ผึ้งไหล
ออกมาอีกหรือไม ถาไมมีแสดงวาขี้ผึ้งไหลออกหมดแลว รักษาระดับความรอนไวที่ อุณหภูมิ 250
องศาเซลเซียสประมาณ 2 ชั่วโมง แลวเริ่มตนการเผาพิมพโดยการเติมเชื้อเพลิง (ฟน) ใหความรอน
เพิ่มขึ้นทีละนอยในแตละครั้ง ควบคุมใหอยูในระดับที่อุณหภูมิ 600 องศาเซลเซียสแลวปลอยให
อุณหภูมิลดลงเรื่อย ๆ จนถึงระดับความรอนที่อุณหภูมิ 300 องศาเซลเซียส แลวคอยด ๆ เติม
เชื้อเพลิง(ฟน) อีกใหไดระดับความรอนที่ 600 องศาเซลเซียส ทําอยางนี้ไปเรื่อย ๆ จนหุนไดรับ
ความรอน พอเหมาะ จะมีเปลวไฟลุกขึ้นที่ปากจอกรูเทของหุน ชางเรียกวา “ลุกดวง” ใหลดอุณหภูมิ
ลง โดยไมตอ งเติมเชื้อเพลิง (ฟน) ใหอุณหภูมิอยูที่ระดับ 150 องศาเซลเซียส สังเกตที่ปากจอกรูเท
การเทน้ําโลหะ
การเทน้ําโลหะลงในหุนสําหรับหลอ จะตองคํานึงถึงความสะดวกปลอดภัยในการปฏิบัติงานอยาง
มาก กอนลงมือปฏิบัติงาน จะตองมีการตรวจสอบเครื่องมือที่ใชในการปฏิบัติงาน ใหอยูในสภาพ
พรอมใชงาน ผูปฏิบัติงานจะตองมีสุขภาพรางกายที่แข็งแรงพรอม ทั้งมีความรูความสามารถ และ
ประสบการณในการปฏิบัติงาน เครื่องมือที่ใชงานในการปฏิบตั ิงานมี 2 ชนิด คือ
1. คีมเท (คีมสองหาง) คือ คีมที่ใชสําหรับยกเบาหลอมที่มีน้ําโลหะหลอมละลายอยูไปเอียง
เทลงในปากจอก (อางรูเท) ที่มีลกั ษระเปนดามเหล็กขางหนึ่ง มีดามเหล็กมีดามเดียวตรง
กลางเปนรูกลม เสนผาศูนยกลาง 28 เซนติเมตร อีกดานหนึ่งมีดามแยกออกเปน 2 ดาม
สําหรับจับยกความยาวของคีมเท 250 เซนติเมตร
2. คีมถอนเบา คือ คีมที่ใชสําหรับคีบยกเบาหลอม ที่มีน้ําโลหะหลอมละลายอยู ออกจาก
เตาหลอมนํามาวางใสลงตรงรูตรงกลางของคีมเท มีลกั ษณะเปนดามเหล็ก 2 ขาง เจาะรู
ยึดติดกันและขยับยกขึ้นลงไดที่ปลายของแตละขาง มีเหล็กรูปตัว C เพื่อใชเปนที่คีบจับ
ดานขางของเบาหลอมมีความยาวของคีมถอน 250 เซนติเมตร
ระฆังโลหะขนาด ๓ กํา
ขณะชางกําลังทดสอบเสียง
การจัดทําองคความรูด านชางสิบหมู เรื่อง การหลอระฆังแบบโบราณ
ผลผลิตงานศิลปกรรม