Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
ศุภผล ช่อวิชิต
สารนิพนธ์เสนอต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง
เป็ นส่ วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริ ญญา
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์ )
ปี การศึกษา 2553
ลิขสิ ทธิ์ ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
FOREIGN MUSIC CULTURE PERCEPTION IN THAI CLASSICAL MUSIC:
EVIDENCE OF PLURALISM IN THAI SOCIETY
SUPAPON CHOVICHIT
คณะกรรมการที่ปรึ กษาและคณะกรรมการสอบสารนิพนธ์
......................................................................................
...ประธานกรรมการ
(รองศาสตราจารย์ผสุ ดี จันทวิมล)
......................................................................................
....กรรมการ
(รองศาสตราจารย์ ดร. สุ มาลี นิมมานุภาพ)
________________________________________________
......................................................................................
.....คณบดีบณั ฑิตวิทยาลัย
(ผูช้ ่วยศาสตราจารย์พมิ ล พูพิพิธ)
บทคัดย่ อ
ศุภผล ช่อวิชิต
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย .................................................................................................. (4)
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ............................................................................................. (6)
กิตติกรรมประกาศ .................................................................................................. (8)
สารบัญภาพประกอบ .............................................................................................. (12)
บทที่
1 บทนำ ............................................................................................................. 1
ที่มาและความสำคัญของปัญหา ............................................................... 1
วัตถุประสงค์ของการวิจยั ......................................................................... 3
ขอบเขตของการวิจยั ................................................................................. 3
วิธีดำเนินการวิจยั ...................................................................................... 4
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ....................................................................... 6
2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง .................................................................................... 7
หนังสื อ ..................................................................................................... 7
งานวิจยั ...................................................................................................... 10
3 ลักษณะทัว่ ไปของดนตรี ไทย ........................................................................... 11
ลักษณะของดนตรี ไทยแบบฉบับ ............................................................... 14
เครื่ องดนตรี ไทย ........................................................................................ 14
วงดนตรี ไทย .............................................................................................. 15
บทเพลง ...................................................................................................... 22
ลักษณะพิเศษของดนตรี ไทย ....................................................................... 25
4 การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยโบราณ
จนถึงสมัยต้นรัตนโกสิ นทร์ ............................................................................... 45
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยโบราณ ........ 45
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยสุ โขทัย ........ 54
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยกรุ งศรี อยุธยา.. 60
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยกรุ งธนบุรี
และรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น ........................................................................... 73
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยพระบาท-
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก................................................................... 77
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยพระบาท-
สมเด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย .......................................... 82
5 การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยตั้งแต่สมัยพระบาท-
สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ...... 88
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ............................................................... 88
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ........................................................... 104
สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 ......... 106
การเปลี่ยนแปลงของดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 .................................... 116
กรณี การห้ามเล่นแอ่วลาวในราชอาณาจักร ............................................... 124
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ............................................................................. 131
การพัฒนาดนตรี เพื่อใช้สำหรับประกอบการแสดงมหรสพ ..................... 133
การพัฒนาดนตรี เพื่อความเจริ ญทางดนตรี .............................................. 146
การพัฒนาดนตรี อนั เป็ นผลจากประชันดนตรี ........................................ 146
การสร้างสรรค์ของศิลปิ นไทย ............................................................... 150
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ...................................................... 154
การอุปถัมภ์งานศิลปวัฒนธรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า -
เจ้าอยูห่ วั ................................................................................................ 155
ลักษณะการพัฒนาของดนตรี และมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 6 ................ 161
การเปลี่ยนแปลงของดนตรี ไทยสมัยรัชกาลที่ 6 ................................... 163
6 ดนตรี ไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั และดนตรี ไทย
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ............................................................. 167
ดนตรี ไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั ............................ 167
ดนตรี ไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475....................... 172
7 บทสรุ ป ............................................................................................................. 182
บรรณานุกรม ............................................................................................................. 189
ประวัติผเู้ ขียน ............................................................................................................. 196
สารบัญภาพประกอบ
ภาพที่ หน้า
1 พิณน้ำเต้า …………………………………………………………………... 26
2 บัณเฑาะว์ ………………………………………………………………….. 27
3 ปี่ มอญ ……………………………………………………………………… 27
4 ฆ้องมอญ……….…………………………………………………………… 28
5 ตะโพนมอญ ………………………………………………………………… 29
6 เปิ งมางคอก …………………………………………………………………. 29
7 จะเข้ ………………………………………………………………………… 30
8 ปี่ ชวา ………………………………………………………………………… 30
9 กลองแขก …………………………………………………………………… 31
10 กลองมลายู …………………………………………………………………. 32
11 รำมะนา …………………………………………………………………….. 32
12 ขิม ………………………………………………………………………….. 33
13 แตรงอน ……………………………………………………………………. 35
14 แตรสังข์ ……………………………………………………………………. 36
15 ปี่ ไฉน ………………………………………………………………………. 37
16 กลองชนะ …………………………………………………………………… 37
17 แตรฝรั่ง ……………………………………………………………………… 38
18 กลองยาว ……………………………………………………………………. 39
19 กลองจีน …………………………………………………………………….. 40
20 กลองอเมริ กนั ……………………………………………………………….. 41
21 ดุริยดนตรี นางทั้งห้า ………………………………………………………… 51
บทที่ 1
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
วัตถุประสงค์ ของการวิจัย
ขอบเขตของการวิจัย
ศึกษากระบวนวิธีในการเลือกรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติของศิลปิ นไทยในอดีต
โดยทำการศึกษาลักษณะการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต้ งั แต่ในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบนั
ทั้งนี้โดยอาศัยดนตรี ไทยแบบฉบับ (Thai Classical Music) เป็ นหลักในการศึกษา
วิธีดำเนินการวิจัย
วิธีการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ได้ใช้การศึกษาจากเอกสาร และใช้วิธีการทาง
ประวัติศาสตร์ นำเสนอแบบพรรณนาวิเคราะห์ โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. วิธีการรวบรวมข้อมูล
1.1 แหล่งข้อมูล ได้แก่ หอสมุดแห่งชาติ กองจดหมายเหตุแห่งชาติ ห้องสมุด
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ห้องสมุดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.2 ประเภทของข้อมูลแบ่งเป็ น
1.2.1 หลักฐานชั้นต้น ได้แก่ ศิลาจารึ ก กฎมณเฑียรบาล กฎหมายตรา
สามดวง หมายรับสัง่ ประกาศ บันทึกของชาวต่างประเทศ
1.2.2 หลักฐานชั้นรอง ได้แก่ พระราชพงศาวดารสมัยกรุ งรัตนโกสิ นทร์
วิทยานิพนธ์ และงานวิจยั และงานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
2. วิเคราะห์ขอ้ มูล นำข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นและเอกสารชั้นรองมาวิเคราะห์ โดย
ใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์
3. การนำเสนอข้อมูลแบ่งเป็ นบทดังนี้
บทที่ 1 บทนำ
บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3 ลักษณะทัว่ ไปของดนตรี ไทย
1. ลักษณะของดนตรี ไทยแบบฉบับ
2. เครื่ องดนตรี ไทย
3. วงดนตรี ไทย
4. บทเพลง
5. ลักษณะพิเศษของดนตรี ไทย
บทที่ 4 การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยโบราณ
จนถึงสมัยต้นรัตนโกสิ นทร์
1. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยโบราณ
2. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยสุ โขทัย
3. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยกรุ งศรี -
อยุธยา
4. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัยกรุ ง-
ธนบุรี และรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น
5. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก
6. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
บทที่ 5 การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยตั้งแต่สมัย
พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-
เกล้าเจ้าอยูห่ วั
1. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั
2. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
3. สถานการณ์ที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4
4. การเปลี่ยนแปลงของดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 4
5. กรณี การห้ามเล่นแอ่วลาวในราชอาณาจักร
6. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
7. การพัฒนาดนตรี เพือ่ ใช้สำหรับประกอบการแสดงมหรสพ
8. การพัฒนาดนตรี เพื่อความเจริ ญทางดนตรี
9. การพัฒนาดนตรี อนั เป็ นผลจากประชันดนตรี
10. การสร้างสรรค์ของศิลปิ นไทย
11. การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติในดนตรี ไทยในสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั
12. การอุปถัมภ์งานศิลปวัฒนธรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ -
เกล้าเจ้าอยูห่ วั
13. ลักษณะการพัฒนาของดนตรี และมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 6
14. การเปลี่ยนแปลงของดนตรี ไทยสมัยรัชกาลที่ 6
บทที่ 6 ดนตรี ไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั และ
ดนตรี ไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1. ดนตรี ไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั
2. ดนตรี ไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
บทที่ 7 บทสรุ ป
หนังสื อ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ตำนานเครื่องมโหรีปี่พาทย์ และ
ประชุมบทเพลงไทยเดิม ภาคหนึ่ง ภาคสอง และภาคสาม. กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์มหา
มงกุฎราชวิทยาลัย, พิมพ์เนื่องในงาน ฌาปนกิจศพ นาย จรู ญ จูฑะสุ ต ณ ณาปนสถาน
คุรุสภา วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วันที่ 4 มิถุนายน 2512
ปัญญา รุ่ งเรื อง. ประวัติการณ์ ดนตรีไทย. กรุ งเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2517.
บทที่ 3
ลักษณะทั่วไปของดนตรีไทย
ดนตรี เป็ นคำเก่าที่มีรากศัพท์มาจาก ภาษาบาลี -สันสกฤต ในเอกสารโบราณมักใช้
ควบคู่กบั “ดุริยะ”คือ “ดุรยดนตรี ”1 ในปัจจุบนั คนไทยใช้คำว่าดนตรี กนั อย่างกว้างขวาง โดย
มักหมายถึงเสี ยงที่มีความไพเราะ ดังนั้น ดนตรี ในความหมายปัจจุบนั จึงหมายถึง เสี ยงสูงๆ
ต่ำๆที่เรี ยบเรี ยงขึ้นอย่างเป็ นระบบ อันทำให้ผฟู้ ังเกิดอารมณ์ต่างๆ เช่น สนุกสนาน ครึ กครื้ น
ขบขัน เศร้าโศก ไปตามทำนองเพลง2 เสี ยงดนตรี เป็ นสิ่ งที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ และ
พฤติกรรมของมนุษย์เป็ นอย่างมาก มนุษย์จึงรู ้จกั นำดนตรี มาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์นานา
ประการ จึงกล่าวได้วา่ ดนตรี เป็ นสิ่ งที่ทรงคุณค่าที่สุดอย่างหนึ่งของมวลมนุษย์
ดนตรี กำเนิดขึ้นมาเมื่อใด หรื อ อย่างไรนั้นไม่มีผใู้ ดสามารถตอบได้ เรารู ้แต่เพียงว่า
ดนตรี เกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์ และ มนุษย์ทุกชาติทุกภาษารู ้จกั ดนตรี จากหลักฐานทาง
โบราณคดีทำให้เราทราบว่า มนุษย์นบั ตั้งแต่ยคุ หิ นเก่า จนถึงอารยธรรมในโลกยุคโบราณ
อย่าง สุ เมเรี ยน อียปิ ต์ กรี ก โรมัน และ อารยธรรมในลุ่มแม่น้ำสิ นธุ ไม่วา่ ชนชาติใดล้วน
รู ้จกั ดนตรี ดว้ ยกันทั้งสิ้ น แสดงให้เห็นว่ามนุษย์รู้จกั ดนตรี มาเป็ นเวลาหลายพันหลายหมื่นปี
แล้ว ดนตรี ในสมัยดึกดำบรรพ์อาจเกิดขึ้นจาก การที่มนุษย์ตอ้ งการเลียนเสี ยงธรรมชาติ เช่น
ฝนตก นกร้อง หรื ออยากจะใช้เสี ยงเพื่อเป็ นเครื่ องสื่ อสานให้ผอู้ ื่นได้รับรู ้ความคิดของตน
มนุษย์จึงเริ่ ม ผิวปาก ตบมือ เคาะเท้าเพื่อให้เกิดเป็ นเสี ยงดนตรี อย่างง่ายๆ ต่อมามนุษย์คงจะ
เริ่ มหาวัสดุที่อยูร่ อบๆตัวมาทำให้เกิดเสี ยง เช่น เป่ าใบไม้ เคาะก้อนหิ น แล้วจึงพัฒนาเป็ น
บทเพลงหรื อเครื่ องดนตรี ที่สลับซับซ้อนขึ้นตามลำดับ เราอาจสันนิษฐานได้วา่ ดนตรี ของ
ทุกๆชาติในโลกก็คงจะมีตน้ กำเนิดที่คล้ายคลึงกันเช่นนี้ แม้วา่ ความจริ งแล้วเราไม่อาจทราบ
ได้เลยว่าดนตรี น้ นั มีตน้ กำเนิดที่แท้จริ งเป็ นอย่างไร เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆที่จะบ่งบอก
ได้ แต่เราสามารถทราบได้อย่างหนึ่งว่า ดนตรี เป็ นส่ วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ และ เป็ นเครื่ อง
แสดงออกถึง จิตวิญญาณ ของความเป็ นมนุษย์เลยทีเดียว
การที่มนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์รู้จกั ดนตรี จึงทำให้ทุกๆชนชาติลว้ นมีดนตรี เป็ นของตนด้วย
กันทั้งสิ้ น ซึ่งดนตรี ของแต่ละชนชาติกจ็ ะมีรูปแบบและสำเนียงดนตรี แตกต่างกันไป โดย
ปกติแล้วดนตรี ของชนชาติใด เราเรี ยกตามชื่อชนชาติผเู้ ป็ นเจ้าของ เช่น ดนตรี อินเดีย ดนตรี
1
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, ร้ องรำทำเพลง ดนตรีและนาฎศิลป์ ชาวสยาม. พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุ งเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน, 2542) หน้า 3.
2
สุ มาลี นิมมานุภาพ, ดนตรีวจิ ักขณ์ , พิมพ์ครั้งที่ 9 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2547), หน้า 15.
จีน ดนตรี ญี่ปุ่นเป็ นต้น คนไทยก็มีดนตรี เป็ นของตนเองเช่นเดียวกัน ดังนั้นดนตรี ของคน
ไทยจึงเรี ยกว่า ดนตรี ไทย
3
วิมาลา ศิริพงษ์, “การสื บทอดวัฒนธรรมดนตรี ไทยในสังคมไทยปัจจุบนั ศึกษากรณี
สกุลพาทยโกศลและสกุลศิลปบรรเลง,” (วิทยานิพนธ์สงั คมวิทยาและมานุษยวิทยามหา
บัณฑิตสาขามานุษยวิทยา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , 2534 ), หน้า 20-21.
ซึ่งก็คือดนตรี ไทย ที่เรารู ้จกั กันในปัจจุบนั นัน่ เอง จึงกล่าวได้วา่ ดนตรี ไทยนั้นแบ่งเป็ น
สองระดับ ดังนั้นการใช้คำว่า ดนตรี ไทย โดยมิได้ระบุให้แน่ชดั อาจทำให้คนทัว่ ไปเกิด
ความสับสนได้วา่ หมายถึงดนตรี ประเภทใด เพือ่ ให้เกิดความกระจ่างชัด สุ มาลี นิมมานุภาพ
ได้แยกดนตรี ท้งั สองประเภทนี้ ออกจากกันอย่างชัดเจน โดยเรี ยกดนตรี ไทยชั้นสูงซึ่งปัจจุบนั
ถือเป็ นดนตรี ประจำชาติ ว่า ดนตรี ไทยแบบฉบับ เนื่องจากดนตรี ประเภทนี้ เป็ นแบบแผน
ของการบรรเลงดนตรี ไทยในปัจจุบนั และ เรี ยกดนตรี ของชาวบ้านตามท้องถิ ่นต่างๆว่า
ดนตรี พ้ืนบ้าน4 ซึ่งทั้งสองคำมีความหมายชัดเจน ไม่ทำให้เกิดความสับสนระหว่าง ดนตรี
ไทย กับ ดนตรี พ้นื บ้าน ต่อจากนี้ผเู้ ขียนจึงขอเรี ยกดนตรี ช้ นั สูงของไทยว่า ดนตรี ไทยแบบ
ฉบับ และ เรี ยกดนตรี ของชาวบ้านตามท้องถิ่นต่างๆว่า ดนตรี พ้ืนบ้าน โดยตลอด
ลักษณะของดนตรีไทยแบบฉบับ
2. วงดนตรีไทย
การประสมวงดนตรี น้ นั หมายถึงการนำเครื่ องดนตรี หลายชนิดมาบรรเลงร่ วมกัน
เพื่อให้เกิดความไพเราะ สำหรับดนตรี ไทยในปัจจุบนั นั้นจะมีรูปแบบการประสมวงดนตรี
อยูท่ ้ งั หมดห้าประเภท คือ บรรเลงพิณ วงขับไม้ วงปี่ พาทย์ วงมโหรี และวงเครื่ องสาย
วงดนตรี สองประเภทแรกนั้นแทบไม่มีการใช้แล้ว จึงอาจกล่าวได้วา่ การประสมวงดนตรี
ไทยในปัจจุบนั มี วงดนตรี อยูเ่ พียงสามประเภทเท่านั้น คือ วงปี่ พาทย์ วงมโหรี และ
วงเครื่ องสาย5 ซึ่งวงแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
2.1 บรรเลงพิณ คือการดีดพิณพร้อมกับการร้องเป็ นทำนองประกอบ โดยมีผเู้ ล่น
เพียงคนเดียวทำหน้าที่เป็ นทั้งคนเล่นและคนร้อง โดยผูเ้ ล่นต้องเป็ นผูช้ าย และถอดเสื้ อเล่น
พิณที่ใช้กค็ ือพิณน้ำเต้า ในปัจจุบนั การบรรเลงพิณไม่มีแล้ว คาดว่าในสมัยโบราณผูท้ ี่เล่น
ดนตรี ประเภทนี้ คือ พราหมณ์
5
ดูรายละเอียดเรื่ องแบบแผนวงดนตรี แบบฉบับและลักษณะการผสมวงดนตรี ไทยเพิ ม่
เติม ใน สุมาลี นิมมานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 85-111.
2.2 วงขับไม้ คือวงดนตรี ที่มีผบู้ รรเลงสามคนประกอบไปด้วย คนร้องขับ ลำนำ
คนสี ซอสามสายประสานเสี ยง คนไกวบัณเฑาะว์ วงขับไม้เป็ นวงดนตรี ศกั ดิ์ สิทธิ์สำหรับ
งานพิธี จึงไม่นำมาใช้ในการบรรเลงทัว่ ไป ปัจจุบนั ใช้เฉพาะในงานพระราชพิธี เช่น
พิธีสมโภชพระมหาเศวตฉัตร สมโภชพระยาช้างเผือก เป็ นต้น
2.3 วงปี่ พาทย์ คือวงดนตรี ที่ปี่เป็ นตัวนำ และมีเครื่ องตีเช่น ระนาด ฆ้อง กลอง เป็ น
ส่ วนประกอบในการบรรเลง ปัจจุบนั แบ่งได้เป็ นแปดชนิด คือ วงปี่ พาทย์ชาตรี วงปี่ พาทย์
ไม้แข็ง วงปี่ พาทย์ไม้นวม วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ วงปี่ พาทย์มอญ วงปี่ พาทย์นางหงส์
วงปี่ กลองมลายู วงปี่ กลองแขก โดยวงปี่ พาทย์ชาตรี วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง และวงปี่ พาทย์
ไม้นวม ถือเป็ นวงมาตรฐานที่ใช้ได้ทวั่ ไป ส่ วนวงประเภทที่เหลือเป็ นวงเฉพาะกาลสำหรับ
ใช้ในบางโอกาสเท่านั้น ซึ่งวงแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
2.3.1 วงปี่ พาทย์ชาตรี หรื อเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า วงปี่ พาทย์เครื่ องห้าอย่างเบา
ใช้สำหรับบรรเลงประกอบการแสดงหนังตะลุง มโนราห์ และ ละครชาตรี ประกอบด้วย
ปี่ นอก 1 เลา โทนไม้ (ทับ) 2 ลูก กลองชาตรี 1 คู่ ฆ้องคู่ 1 ชุด และ ฉิ่ ง
2.3.2 วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง คือวงปี่ พาทย์ที่ใช้ไม้แข็งตีระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่และ
ฆ้องวงเล็ก ทำให้มีเสี ยงดัง หนักแน่น เหมาะสำหรับบรรเลงในลานกว้าง หรื อ นอกอาคาร
วงปี่ พาทย์ไม้แข็ง แบ่งเป็ นสามขนาดคือ เครื่ องห้า เครื่ องคู่ และ เครื่ องใหญ่ ซึ่งวงแต่ละ
ขนาดมีรายละเอียดดังนี้
1. วงปี่ พาทย์ไม้แข็งเครื่ องห้า หรื อ เรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า ปี่ พาทย์เครื่ องห้า
อย่างหนัก ใช้ประกอบการแสดงโขน ละคร ประกอบด้วย ปี่ ใน 1 เลา ระนาดเอก 1 ราง
ฆ้องวงใหญ่ 1 วง ตะโพน 1 ลูก กลองทัด 1 ลูก และ ฉิ่ ง
2. วงปี่ พาทย์ไม้แข็งเครื่ องคู่ คือ วงปี่ พาทย์เครื่ องห้าที่เพิม่ เครื่ องดำเนิน
ทำนองทั้งหมดในวงให้เป็ นคู่ คือ เพิม่ ปี่ นอกให้คู่กบั ปี่ ใน เพิม่ ระนาดทุม้ คู่กบั ระนาดเอก
เพิ่มฆ้องวงเล็กคู่กบั ฆ้องวงใหญ่ เพิ่มกลองทัดเป็ นสองลูกให้เกิดเสี ยงสูงเสี ยงต่ำเรี ยกว่าตัวผู้
ตัวเมีย วงชนิดนี้ ใช้บรรเลงประกอบการแสดง โขน ละคร วงปี่ พาทย์ไม้แข็งเครื่ องคู่จึงมี
เครื่ องดนตรี ท้ งั หมดดังนี้ ปี่ ใน และ ปี่ นอก ระนาดเอก และ ระนาดทุม้ ฆ้องวงใหญ่ และ
ฆ้องวงเล็ก ตะโพน 1 ลูก กลองทัด 1 คู่ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบ 1 คู่ และ โหม่ง
3. วงปี่ พาทย์ไม้แข็งเครื่ องใหญ่ คือ วงปี่ พาทย์ไม้แข็งเครื่ องคู่ ที่เพิม่
ระนาดเอกเหล็ก และ ระนาดทุม้ เหล็ก เข้าไปอย่างละราง และ อาจใช้ฆอ้ งราวแทนฆ้อง
โหม่ง นอกจากนั้นมีองค์ประกอบเหมือนเดิมทุกประการ วงชนิดนี้ ใช้บรรเลงประกอบโขน
ละคร และ บรรเลงประกอบการร้องส่ ง
2.3.3 วงปี่ พาทย์ไม้นวม คือ วงปี่ พาทย์ที่มีลกั ษณะเหมือนปี่ พาทย์ไม้แข็ง แต่
เปลี่ยนมาใช้ไม้นวมตีระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ และ ฆ้องวงเล็กและ ใช้ขลุ่ยเพียงออ กับ ซออู ้
แทนปี่ เพราะปี่ มีเสี ยงดังเกินไป ทำให้วงชนิดนี้ มีเสี ยงนุ่มนวล กว่าปี่ พาทย์ไม้แข็ง
เหมาะสำหรับบรรเลงในอาคาร โดยปกตินิยมใช้วงประเภทนี้ บรรเลงประกอบการร้องส่ง
วงปี่ พาทย์ไม้นวมมีการแบ่งขนาดวงเป็ นสามขนาด คือ เครื่ องห้า เครื่ องคู่ และเครื่ องใหญ่
รวมทั้ง มีการใช้เครื่ องดนตรี เหมือนกับ วงปี่ พาทย์ไม้แข็งทุกประการ ต่างกันแค่ใช้
ขลุ่ยเพียงออ กับ ซออู ้ แทนปี่ เท่านั้น
2.3.4 วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ คือ วงดนตรี ที่ประดิษฐ์ข้ ึนมาใหม่ สำหรับ
ประกอบละครดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็ นละครร้องแบบไทย ที่ได้รับแบบอย่างมาจากละครโอเปรา
ของยุโรป ดนตรี สำหรับประกอบละครร้องต้องการเสี ยงที่นุ่มนวล จึงตัดเครื่ องดนตรี ที่มี
เสี ยงแหลม และ เสี ยงดังออก แล้วใส่ เครื่ องดนตรี ที่มีเสี ยงนุ่มเข้าไปแทน ปี่ พาทย์
ดึกดำบรรพ์ จึงประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู ้ ซออู ้ 2 คัน ระนาดเอก ระนาดทุม้
ระนาดทุม้ เหล็ก 1 ราง ฆ้องวงใหญ่ วงฆ้องชัย ( ฆ้องหุ่ย 7 ลูก 7 ระดับเสี ยง ) ตะโพน
กลองตะโพน 1 คู่ หรื อ กลองแขก 1 คู่ ฉิ่ ง ฉาบ โดยเครื่ องตีท้ งั หมดรวมทั้งกลองตะโพน ใช้
ไม้นวมตี เพื่อให้มีเสี ยงนุ่มนวล
2.3.5 วงปี่ พาทย์มอญ คือ ปี่ พาทย์ที่ไทยรับมาจากชาวมอญ แล้วทำการปรับปรุ ง
บางส่ วนปัจจุบนั นิยมใช้บรรเลงในงานศพ ปี่ พาทย์มอญมีรูปแบบการประสมวง และ ขนาด
วง เหมือนปี่ พาทย์ไม้แข็งทุกประการ แต่ใช้เครื่ องดนตรี มอญแทน ปี่ พาทย์มอญจึงมีราย
ละเอียดดังนี้ ปี่ มอญ 1 เลา ระนาดเอก ระนาดทุม้ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุม้ เหล็ก ฆ้อง
มอญวงใหญ่ ฆ้องมอญวงเล็ก ตะโพนมอญ 1 ลูก เปิ งมางคอก 1 ชุด ฆ้องโหม่ง 1 ลูก หรื อ
ฆ้องราว ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ ฉิ่ง
2.3.6 วงปี่ พาทย์นางหงส์ คือปี่ พาทย์ที่ขนาดวงเหมือนปี่ พาทย์ไม้แข็งทุกประการ
เครื่ องดนตรี กค็ ล้ายกัน ต่างกันตรงที่ใช้ ปี่ ชวา แทนปี่ นอกหรื อปี่ ใน ใช้กลองมลายู 1 คู่ แทน
ตะโพน และกลองทัด วงชนิดนี้ ปัจจุบนั ใช้บรรเลงในงานศพเท่านั้น วงปี่ พาทย์นางหงส์จึง
ประกอบไปด้วย ปี่ ชวา ระนาดเอก ระนาดทุม้ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุม้ เหล็ก ฆ้องวงเล็ก
ฆ้องวงใหญ่ กลองมลายู 1 คู่ ฉิ่ ง ฉาบ กรับ โหม่ง
2.3.7 วงปี่ กลองมลายู คือ วงที่ใช้กลองมลายู และ ปี่ ชวา เป็ นหลัก บางครั้งเรี ยก
ว่า วงเครื่ องกลองมลายู หรื อ วงกลองสี่ ปี่หนึ่ง วงชนิดนี้ แบ่งเป็ นสองประเภทคือ
วงปี่ กลองมลายู และ วงบัวลอย วงปี่ กลองมลายู ประกอบไปด้วยเครื่ องดนตรี สามชนิด คือ
ปี่ ชวา 1 เลา กลองมลายู 4 ลูก ฆ้องเหม่ง 1 ลูก6 กลองมลายูมีเสี ยงสูงเสี ยงต่ำต่างกันเรี ยกว่า
ตัวผูต้ วั เมีย โดยปกติวงชนิดนี้ ใช้ใน กระบวนแห่พยุหยาตรา และ งานพระบรมศพ หรื อ
พระศพเจ้านาย ไปจนถึงงานศพของผูใ้ หญ่ที่มีเกียรติสูง วงปี่ กลองมลายูน้ี หากใช้เพียง
ปี่ ชวา 1 เลา กลองมลายู 2 ลูก และ ฆ้องเหม่ง 1 ลูก จะเรี ยกว่าวงบัวลอย บางวงอาจใช้
กลองแขกแทนกลองมลายู ซึ่งวงชนิดนี้ ใช้บรรเลงในงานศพเช่นกัน ในปัจจุบนั หาฟังได้ยาก
2.3.8 วงปี่ กลองแขก เป็ นวงที่ประกอบไปด้วยเครื่ องดนตรี เพียงสามชนิด คือ
ปี่ ชวา 1 เลา กลองแขก 2 ลูก ฉิ่ ง ใช้สำหรับประกอบการรำกริ ช กระบี่กระบอง และ
การชกมวยไทย
2. 4 วงเครื่ องสาย วงเครื่ องสาย คือรู ปแบบการประสมวงดนตรี ที่มีการนำเครื่ อง
ดนตรี ที่มีสายทั้งหมด มาบรรเลงร่ วมกัน โดยมีขลุ่ยเป็ นเครื่ องทำนำนอง และ มี โทน
รำมะนา ฉิ่ง เป็ นเครื่ องกำกับจังหวะ โดยวงประเภทนี้ จะมีน ้ำเสี ยงไพเราะนุ่มนวลกว่า
วงปี่ พาทย์ วงเครื่ องสายแบ่งเป็ นสามประเภท คือ วงเครื่ องสายไทย วงเครื่ องสายปี่ ชวา และ
วงเครื่ องสายผสม โดยวงเครื่ องสายไทย และ วงเครื่ องสายปี่ ชวา แบ่งเป็ นสองขนาดคือ
วงเครื่ องสายวงเล็ก และ วงเครื่ องสายวงใหญ่ ส่ วน วงเครื่ องสายผสม แบ่งเป็ น
วงเครื่ องสายผสมเครื่ องดนตรี ไทย และ วงเครื่ องสายผสมเครื่ องดนตรี ต่างประเทศ
2. 4.1 วงเครื่ องสายไทย คือวงดนตรี ที่ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ซอด้วย
ซออู ้ จะเข้ โทน รำมะนา ฉิ่ง (อาจมี ฉาบเล็ก กรับ โหม่ง ผสมวงด้วย) อย่างละหนึ่งชิ้น
การผสมวงเช่นนี้จะเรี ยกว่า เครื่ องสายวงเล็ก หากเพิ่มเพิม่ เครื่ องทำนำนองทุกชิ้นเป็ นคู่ ก็จะ
เรี ยกว่า วงเครื่ องสายวงใหญ่ หรื อ วงเครื่ องสายเครื่ องคู่ วงเครื่ องสายไทยวงใหญ่จึง
ประกอบไปด้วย ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลีบ ซอด้วง 2 คัน ซออู ้ 2 คัน จะเข้ 2 ตัว โทน 1 ลูก
6
ฆ้องเหม่ง คือฆ้องชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กแต่หนากว่าฆ้องทัว่ ไป คือมีความหนา
ประมาณ 1 ซม. หน้ากว้างประมาณ 19 ซม. มีฉตั รสูงประมาณ 6 ซม. ตีดว้ ยไม้จริ ง
ท่อนกลม ๆ ยาวประมาณ 15 ซม. ฆ้องชนิดนี้ ใช้ตีประกอบในวงปี่ กลองมลายูและ
วงบัวลอย เวลาตีมีเสี ยงดัง เหม่ง เหม่ง จึงเรี ยกกันว่า ฆ้องเหม่ง ใน ธนิต อยูโ่ พธิ์,
หนังสื อเครื่องดนตรีไทย, พิมพ์ครั้งที่ 4. (กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร, 2530), หน้า 27
รำมะนา 1 ลูก ฉิ่ ง และ อาจมี ฉาบเล็ก กรับ โหม่ง ผสมวงด้วย เหมาะที่จะใช้บรรเลงใน
อาคาร โดยปกตินิยมใช้ในงานแต่งงาน พิธีประสาทพระพร และ ใช้บรรเลงในงานเลี้ ยง
2. 4.2 วงเครื่ องสายปี่ ชวา คือวงที่มีเครื่ องดนตรี คล้ายวงเครื่ องสายไทย เพียงแต่
เปลี่ยนขลุ่ยเป็ นปี่ ชวา และ เปลี่ยนเครื่ องกำกับจังหวะจากโทนและรำมะนาเป็ นกลองแขก
วงเครื่ องสายปี่ ชวาจึงประกอบไปด้วย ปี่ ชวา ซอด้วง ซออู ้ ขลุ่ยหลีบ จะเข้ กลองแขก 1 คู่
ฉิ่ ง โดยอาจมี ขลุ่ยหลีบ ฉาบเล็ก กรับ โหม่ง ผสมวงด้วย หากเพิ่มเครื่ องทำทำนองทั้งหมด
คือ ซอด้วง ซออู ้ จะเข้ เป็ นคู่ ก็จะเรี ยกว่า วงเครื่ องสายปี่ ชวาวงใหญ่ หรื อ วงเครื่ องสายปี่
ชวาเครื่ องคู่ ดังนั้นวงเครื่ องสายปี่ ชวาวงใหญ่จึงประกอบไปด้วย ปี่ ชวา 1 เลา ซอด้วง 2 คัน
ซออู ้ 2 คัน จะเข้ 2 ตัว กลองแขก 1 คู่ ฉิ่ง และ อาจมี ฉาบเล็ก กรับ โหม่ง ผสมวงด้วย
2. 4.3 วงเครื่ องสายผสม คือ วงเครื่ องสายไทย ที่มีการนำเครื่ องดนตรี ไทยชนิด
อื่นๆที่มิใช่เครื่ องสาย หรื อ เครื่ องดนตรี ต่างประเทศ มาผสมวงบรรเลงร่ วมกันเพื่อให้เกิด
เสี ยงดนตรี ที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากเดิม วงประเภทนี้ เกิดขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์ของ
นักดนตรี ไทยที่ตอ้ งการสร้างสำเนียงเพลงแปลกๆใหม่ๆ จึงได้นำเครื่ องดนตรี ชนิดต่างๆมา
ผสมผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็ นวงเครื่ องสายผสมที่มีความไพเราะดังที่ปรากฏนี้ วงเครื่ อง
สายผสม แบ่งเป็ นสองชนิดคือ วงเครื่ องสายผสมเครื่ องดนตรี ไทย และ วงเครื่ องสายผสม
เครื่ องดนตรี ต่างประเทศ วงเครื่ องสายผสมเครื่ องดนตรี ไทย ก็คือ วงเครื่ องสายไทยผสมเข้า
กับเครื่ องดนตรี ไทยอื่นๆที่ไม่ใช่เครื่ องสาย เช่น ระนาด ระนาดทอง ซอสามสาย ฯลฯ ส่ วน
วงเครื่ องสายผสมเครื่ องดนตรี ต่างประเทศ ก็คือ วงเครื่ องสายไทยผสมเข้ากับเครื่ องดนตรี
ต่างประเทศ เช่น ขิม ออร์แกน เปี ยโน แอคคอร์เดียน เชลโล ไวโอลิน ฯลฯ
2. 5 วงมโหรี คือวงดนตรี ที่ประกอบไปด้วย เครื่ องดนตรี ท้ งั ดีด สี ตี เป่ า
พร้อมเพรี ยงในวงเดียวกัน หรื อ เป็ นการนำเครื่ องดนตรี ที่ใช้ใน วงปี่ พาทย์ และ เครื่ องสาย
มาผสมผสานบรรเลงร่ วมกันนัน่ เอง จึงเป็ นวงที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วน และ มี สำเนียงอัน
ไพเราะรื่ นหู โดยปกตินิยมใช้บรรเลงในงานต่างๆ เช่น งานทำบุญเลี้ยงพระ งานเลี้ยงรับรอง
และ มักเล่นในอาคารหรื อห้องโถง วงมโหรี แบ่งเป็ นสองประเภทคือ วงมโหรี โบราณ และ
วงมโหรี แบบฉบับ
2. 5.1 วงมโหรี โบราณ คือรู ปแบบการผสมวงมโหรี ที่ปรากฏหลักฐานว่าเคยมี
ในครั้งโบราณ ซึ่ง ในปัจจุบนั อาจไม่มีผเู้ ล่น หรื อได้เปลี่ยนรู ปแบบไปแล้ว วงมโหรี โบราณ
แบ่งย่อยออกเป็ นห้าประเภท คือ วงมโหรี เครื่ องสี่ วงมโหรี เครื่ องหก วงมโหรี เครื่ องแปด
วงมโหรี เครื่ องเก้า และวงมโหรี เครื่ องใหญ่ โดยปกติวงมโหรี ในครั้งโบราณใช้ผหู้ ญิงเล่น
ทั้งหมด
วงมโหรี เป็ นวงดนตรี ที่มีพฒั นาการอย่างต่อเนื่อง นั้นก็คือในแต่ละยุคสมัยจะมีการ
เพิ่มเครื่ องดนตรี เข้าไปในวง เพื่อให้วงมีความสมบูรณ์ข้ึนนัน่ เอง วงมโหรี ที่เก่าแก่ที่สุดก็คือ
วงมโหรี เครื่ องสี่ คาดว่ามีมาก่อนสมัยกรุ งศรี อยุธยา เนื่องจากปรากฏหลักฐานใน
กฎมณเฑียรบาล วงชนิดนี้ ประกอบไปด้วย คนขับร้องและตีกรับพวง คนสี ซอสามสาย
คนดีดกระจับปี่ คนตีโทน ต่อมาในสมัยกรุ งศรี อยุธยาตอนปลาย พบว่ามี วงมโหรี เครื่ องหก
จากหลักฐานภาพเขียนบนตูห้ นังสื อสมัยปลายกรุ งศรี อยุธยา วงมโหรี เครื่ องหก จะประกอบ
ไปด้วย คนขับร้องและตีกรับพวง คนสี ซอสามสาย คนดีดกระจับปี่ คนตีโทน คนเป่ าขลุ ่ย
คนตีรำมะนา กล่าวคือมีการเพิม่ ขลุ่ย และ รำมะนา เข้ามาในวงมโหรี นนั่ เอง
7
ระนาดแก้ว คือระนาดที่มีลูกระนาดทำด้วยแก้ว ในปัจจุบนั ไม่มีการใช้แล้วและแทบ
ไม่มีผใู้ ดเคยพบเห็น สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้กล่าวถึงระนาดแก้วไว้ในหนังสื อ
ตำนานเครื่ องมโหรี ปี่พาทย์วา่ มีการนำมาใช้ในวงมโหรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งท่านได้ทรง
อธิบายเพิ่มเติมไว้ในเชิงอรรถว่า ระนาดแก้วนั้นท่านเองก็ไม่เคยเห็นสอบถามก็ไม่ได้ความ
แต่คาดว่าเสี ยงคงไม่ไพเราะจึงได้เลิกเสี ยแล้วใช้ฆอ้ งวงแทน อย่างไรก็ตามระนาดชนิดนี้ เชื่อ
ว่าในอดีตเคยมีการใช้จริ ง เพราะในห้องแสดงเครื่ องดนตรี พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติมี
เพิ่มเข้ามาในวงอีกสองชิ้น ทำให้วงมโหรี มีเครื่ องดนตรี แปดชิ้นเรี ยกว่า วงมโหรี เครื่ องแปด
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 มีการเพิม่ ฆ้องวงเข้าไปแทนระนาดแก้ว และ เพิ่ม จะเข้ เข้าไปจึงมี
เครื่ องดนตรี เก้าชิ้น เป็ นมโหรี เครื่ องเก้า สมัยรัชกาลที่ 3 มีการเพิม่ ระนาดทุม้ ฆ้องวงเล็ก
และใช้ฉิ่งแทนกรับพวง มีผบู้ รรเลงสิ บสองคน เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 มีการเพิม่ ระนาดทอง
และระนาดเหล็ก เข้าไปอีกสองชนิดรวมมีผบู้ รรเลงสิ บสี่ คน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้นำ
กระจับปี่ ออก และเปลี่ยนกรับเป็ นฉิ่ ง จึงมีเครื่ องดนตรี สิบสองชิ้น เรี ยกว่า วงมโหรี เครื่ อง
ใหญ่
นี่คือรู ปการผสมวงมโหรี ที่มาแต่โบราณ และปรากฏหลักฐานอยู่ ซึ่งปัจจุบนั ได้
เปลี่ยนแปลงไป หรื อ ไม่มีการใช้แล้ว แต่ เนื่องจากวงมโหรี โบราณเป็ นต้นแบบของวงมโหรี
ปัจจุบนั และ บางครั้งอาจมีผรู้ ้ื อฟื้ นนำมากลับมาใช้บา้ ง จึงเป็ นสิ่ งที่ควรทราบไว้
2. 5.2 วงมโหรี แบบฉบับ วงมโหรี แบบฉบับ ก็คือ วงมโหรี ที่มีการพัฒนา
ตั้งแต่สมัยรัชกาล 4 เป็ นต้นมา และเป็ นแบบแผนที่ยงั คงใช้อยูใ่ นปัจจุบนั โดยแบ่งเป็ นสาม
ขนาดคือ วงมโหรี เครื่ องเล็ก วงมโหรี เครื่ องคู่ และ วงมโหรี เครื่ องใหญ่
1. วงมโหรี เครื่ องเล็ก ประกอบไปด้วย ซอสามสาย ซอด้วง ซออู ้ ขลุ่ย
เพียงออ จะเข้ ระนาดเอก ฆ้องวงกลาง ( ฆ้องมโหรี ) โทน รำมะนา ฉิ่ ง
2. วงมโหรี เครื่ องคู่ ก็คือวงมโหรี เครื่ องเล็ก ที่เพิ่มเครื่ องทำทำนอง
ทั้งหมดให้เป็ นคู่ จึงประกอบไปด้วย ซอสามสาย 2 คัน (ซอสามสาย กับ ซอสามสายหลีบ)
ซอด้วง 2 คัน ซออู ้ 2 คัน ขลุ่ย 2 เลา (ขลุ่ยเพียงออ กับ ขลุ่ยหลีบ) จะเข้ 2 ตัว ระนาดเอก
3. บทเพลง
ดนตรี ไทยมีบทเพลงเป็ นจำนวนมากมาย สำหรับเพลงไทยที่ใช้บรรเลงในวงดนตรี
ไทยนั้น แบ่งได้เป็ นสองประเภทใหญ่ๆ คือ เพลงประเภทใช้ดนตรี ลว้ นๆ หรื อเพลงบรรเลง
และ เพลงประเภทขับร้อง8
3.1 เพลงบรรเลง แบ่งได้เป็ นหกประเภท คือ
3.1.1 เพลงโหมโรง หมายถึงเพลงที่ใช้สำหรับประโคมเบิกโรงหรื อเพลงใช้เล่น
นำก่อนมีการแสดงจริ งๆ เพื่อบอกให้ผทู้ ี่ได้ฟังทราบว่าที่นี่กำลังจะมีการแสดงหรื อมีการ
แสดงประเภทใด และยังเป็ นการอัญเชิญเทวดาและสิ่ งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาชุมนุมกัน เพื่อ
เป็ นสิ ริมงคลแก่การแสดงนั้นๆ
3.1.2 เพลงหน้าพาทย์ เป็ นเพลงที่ใช้ประกอบกิริยาอาการของโขนละคร และ
ยังเป็ นเพลงที่ใช้บรรเลงในการ อัญเชิญ พระผูเ้ ป็ นเจ้า ฤๅษี เทวดา ครู บาอาจารย์ ให้มาร่ วม
ในพิธีไหว้ครู หรื อพิธีมงคลต่างๆ เพลงประเภทนี้ ถือเป็ นเพลงชุดพิเศษ มีความสำคัญและ
ศักดิ์สิทธิ์มาก และ มีแบบแผนข้อกำหนดในการ ใช้เพลงเหล่านี้อย่างเคร่ งครัด
3.1.3 เพลงเรื่ อง คือเพลงที่เกิดขึ้นจากการนำเพลงที่มีลกั ษณะใกล้เคียงกัน มา
ผูกต่อกันแล้วบรรเลงติดต่อกันเป็ นชุด โดยจะตั้งชื่อเป็ นชุดเรื่ องต่างๆ เช่น เพลงเรื่ องเต่ากิน
ผักบุง้ เป็ นต้นเพลงประเภทนี้ จะใช้บรรเลงในวงปี่ พาทย์เท่านั้น
3.1.4 เพลงลูกบทและเพลงหางเครื่ อง หมายถึงเพลงที่ออกต่อท้ายเพลงใหญ่
อีกทีหนึ่ง โดยเพลงหางเครื่ องที่ออกนั้นจะต้องมีลกั ษณะหรื อสำเนียงที่คล้ายคลึงกัน เช่นถ้า
เป็ นเพลงสนุก เพลงหางเครื่ องก็ตอ้ งเป็ นเพลงสนุกด้วย หรื อถ้า เป็ นเพลงภาษาเขมร เพลง
หางเครื่ องก็ตอ้ งเป็ นเพลงสำเนียงเขมรต่างๆ
8
ดูรายละเอียดเรื่ องประเภทของเพลงไทยเพิม่ เติมได้ใน สงบศึก ธรรมวิหาร, ดุริยางค์
ไทย (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2540), หน้า 124-140.
3.1.5 เพลงลูกหมด เป็ นเพลงสั้นๆมีจงั หวะเร็ ว ใช้สำหรับบรรเลงต่อท้ายเพลง
ต่างๆเพื่อแสดงว่าจบเพลงแล้ว
3.1.6 เพลงออกภาษา คือเพลงไทยที่มีสำเนียงคล้ายคลึงกับสำเนียงของเพลง
ต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็ นเพลงที่คนไทยแต่งขึ้นเอง หรื อจดจำมาจากต่างประเทศก็ได้ เพลง
ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะมีชื่อต้นเป็ นต่างชาติ เช่น ลาวดวงเดือน เขมรโทรโยค พม่าเห่ มอญ
ดูดาว ญวนรำพัด ญี่ปุ่นฉะอ้อน เป็ นต้น เหตุที่มีชื่อเช่นนี้เป็ นเพราะ ครู เพลงในสมัยโบราณ
เมื่อแต่งเพลงเลียนสำเนียงภาษาใดก็ให้ชื่อเพลงตามสำเนียงของชาติน้ นั เพื่อให้เกียรติแก่
ชนชาติผเู้ ป็ นเจ้าของสำเนียง
เพลงภาษาจะใช้บรรเลงในหลายๆโอกาส การบรรเลงเพลงเป็ นภาษาต่างๆจะเรี ยก
ว่าการออกภาษา หรื อ ออกสิ บสองภาษา ซึ่งมักจะบรรเลงเป็ นชุดโดยมีธรรมเนียมแต่
โบราณว่า จะต้องบรรเลงเพลงสี่ ภาษาก่อนคือ จีน เขมร ตะลุง และ พม่า แล้วจะเลือกเล่น
เพลงภาษาอื่นอย่างไรก็ได้ แต่จะต้องจบด้วยเพลงภาษาฝรั่ง เพราะเป็ นชาวต่างชาติชาติ
สุ ดท้ายที่คนไทยรู ้จกั การเล่นออกภาษาจะมีการใช้กลองที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาษา
เช่น ออกแขกใช้
กลองแขก ออกภาษาจีนใช้กลองจีน ออกพม่าใช้กลองยาว ออกฝรั่งใช้กลองอเมริ กนั
เป็ นต้น ซึ่งสร้างความสนุกสนานและทำให้เพลงมีสำเนียงคล้ายคลึงกับภาษานั้นจริ งๆ
3.2 เพลงประเภทขับร้อง หรื อเรี ยกว่าการร้องรับ เป็ นเพลงที่มีการร้องประกอบ
ดนตรี มีสามประเภทคือ
3.2.1 เพลงเถา คือเพลงที่ขนาดยาวที่กำหนดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนจังหวะ
บรรเลงตั้งแต่ สามชั้น สองชั้น ลงมาจนถึงชั้นเดียว หมายถึงเริ่ มบรรเลงเพลงตั้งแต่จงั หวะช้า
ไปจนถึงเร็วนั้นเอง
3.2.2 เพลงตับ คือเพลงที่เกิดจากการนำเพลงหลายๆเพลงมา บรรเลงขับร้องต่อ
เนื่องกัน โดยแต่ละเพลงจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน เมื่อรวมเข้ากันเป็ นเรื่ องก็จะเรี ยก
ว่า ตับ
3.2.3 เพลงเกร็ ด คือเพลงที่ไม่ได้ถูกเรี ยบเรี ยงเข้าเป็ นชุดต่างๆ เป็ นเพลงที่เป็ น
เอกเทศไม่ตอ้ งบรรเลงเป็ นชุด จะบรรเลงเฉพาะเพลงหรื อบทร้องนั้นๆ และใช้เวลาในการ
บรรเลงสั้นๆไม่ยาวนาน เหมือนเพลงชุดอื่นๆ
ส่ วนจังหวะการบรรเลงเพลงไทยนั้นมีอยูส่ ามอัตรา คือ
1. เพลงสามชั้น คือเพลงจังหวะช้า เป็ นเพลงที่ความประณี ตบรรจง แสดงออก
ถึงศิลปะและความสามารถของศิลปิ น และใช้เวลาในการขับร้องและบรรเลงนานมาก
2. เพลงสองชั้น เป็ นเพลงจังหวะปานกลางที่ฟังง่ายและบรรเลงง่ายกว่าเพลง
สามชั้น ใช้ในการขับร้องประกอบการแสดงละคร
3. เพลงชั้นเดียว เป็ นเพลงที่มีจงั หวะเร็ ว มีความคึกคักรวดเร็ วสนุกสนาน
ลักษณะพิเศษของดนตรีไทย
1. เครื่องดนตรี
เครื่ องดนตรี ของคนไทยนั้นมีอยูม่ ากมาย แต่เมื่อพิจารณาแล้วก็จะพบว่ามีเครื่ อง
ดนตรี ไทยหลายชิ้นที่มิใช่เครื่ องดนตรี ของไทยมาแต่เดิม แต่เป็ นเครื่ องดนตรี ต่างชาติที่คน
ไทยรับเข้ามาใช้เป็ นเวลาเนิ่นนานจนกลายเป็ นเครื่ องดนตรี ของไทยโดยสมบูรณ์แล้ว
การแยกแยะว่าเครื่ องดนตรี ชิ้นใดเป็ นเครื่ องดนตรี ต่างชาติน้ นั สามารถทำได้โดย
ง่าย เพียง พิจารณาชื่อของเครื่ องดนตรี พร้อมกับศึกษาประวัติความเป็ นมาและลักษณะการ
ใช้งาน ของเครื่ องดนตรี แต่ละชิ้นก็จะทราบได้ เพราะความเป็ นต่างชาติปรากฏอยูใ่ นเครื่ อง
ดนตรี ชิ้นนั้นๆอย่างชัดเจน เครื่ องดนตรี ต่างชาติที่คนไทยนำมาใช้ใน วงดนตรี ไทยแบบ
ฉบับ นั้นมีดงั นี้
1. 1 พิณน้ำเต้า พิณน้ำเต้า เป็ นพิณสายเดียว ตัวพิณทำจากผลน้ำเต้าผ่าครึ่ งลูกคว้าน
ไส้ ยึดติดกับไม้พิณหรื อ ทวน สายพิณยาว 78 ซม. ขึงจากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
ภาพ 1 พิณน้ำเต้า
ภาพ 2 บัณเฑาะว์
10
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เรื่ องเดิม, หน้า 27-28.
ภาพ 3 ปี่ มอญ
ภาพ 4 ฆ้องมอญ
11
ธนิต อยูโ่ พธิ์ , หนังสื อเครื่องดนตรีไทย, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร,
2530), หน้า 33.
ที่มา: ฆ้ องมอญ [Online], available URL: http://th.wikipedia.org, 2010 (February, 10).
ภาพ 5 ตะโพนมอญ
ที่มา: เปิ งมางคอก [Online], available URL: http://th.wikipedia.org, 2010 (February, 10).
ภาพ 7 จะเข้
ภาพ 9 กลองแขก
ภาพ 10 กลองมลายู
ภาพ 12 ขิม
12
สงบศึก ธรรมวิหาร, ดุริยางค์ ไทย, (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2540), หน้า 79.
13
ธนิต อยูโ่ พธิ์ , เรื่ องเดิม, หน้า 89.
ภาพ 13 แตรงอน
14
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เรื่ องเดิม, หน้า 27-28.
ภาพ 14 สังข์ในพระราชพิธี
15
สมเด็จกรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์ นสมเด็จ เล่ ม 14 (กรุ งเทพฯ: องค์การค้า
ของคุรุสภา, 2504), หน้า 324.
ภาพ 15 ปี่ ไฉน
ภาพ 16 กลองชนะ
16
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เรื่ องเดิม, หน้า 33.
ที่มา: เครื่องดนตรีไทย [Online], availableURL:http://www1.tv5.co.th/service/
mod/heritage/nation/musical/music0.htm , 2010 (February, 10).
ภาพ 17 แตรฝรั่ง
ภาพ 18 กลองยาว
2. วงดนตรี
ดนตรี ไทยมีแบบแผนวงดนตรี ประเภทต่างๆมากมายดังที่ได้กล่าวไปแล้วในเรื่ อง
การประสมวง และเมื่อพิจารณาวงดนตรี เหล่านั้นแล้วก็จะพบว่า มีวงดนตรี ของไทยจำนวน
มากได้รับแบบแผนมาจากต่างประเทศ หรื อได้รับการประดิษฐ์ข้ึนโดยได้รับแบบอย่างมา
จากต่างประเทศ วงดนตรี ของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ มีดงั นี้
2.1 บรรเลงพิณ เป็ นการบรรเลงพิณน้ำเต้าประกอบการขับร้องสรรเสริ ญเทพเจ้า
ของพราหมณ์ วงชนิดนี้ จึงเป็ นแบบแผนจากอินเดียโดยแท้
2.2 วงขับไม้ เป็ นวงดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์เชื่อว่าเป็ นการผสมผสานระหว่าง ประเพณี ตี
กรับขับไม้ของท้องถิ่น กับประเพณี บรรเลงของอินเดีย โดยคนไทยนำมาใช้ประกอบใน
พิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะพิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ และมีการใช้
บัณเฑาะว์ดว้ ยวงชนิดนี้ จึงเป็ นวงดนตรี ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศ
2.3 วงปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ เป็ นวงดนตรี ที่ประดิษฐ์ข้ึนโดยได้รับแบบอย่างจาก
ตะวันตก
2.4 วงปี่ พาทย์มอญ เป็ นวงดนตรี ที่คนไทยรับมาจากชาวมอญ
2.5 วงปี่ พาทย์นางหงส์ เป็ นวงดนตรี ที่คนไทยดัดแปลงโดยการนำปี่ ชวาและกลอง
มลายูมาใช้ในวงปี่ พาทย์ จึงเป็ นวงที่มีการใช้เครื่ องดนตรี ต่างประเทศหลายอย่าง
2.6 วงปี่ กลองมลายู เป็ นวงดนตรี ที่รับมาจากชาวมลายู
2.7 วงปี่ กลองแขก เป็ นวงดนตรี ที่รับมาจากชวา
2.8 วงเครื่ องสายปี่ ชวา เป็ นวงดนตรี ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาปี่ ชวามาใช้คูก่ บั
รำมะนา และ กลองแขก จึงเป็ นวงดนตรี ที่มีการผสมผสานเครื่ องดนตรี ต่างประเทศหลาย
อย่าง
2.9 วงเครื่ องสายผสม เป็ นวงดนตรี ที่มีการผสมผสานเครื่ องดนตรี ต่างประเทศ
หลายอย่าง โดยเฉพาะเครื่ องดนตรี ตะวันตก
ทั้งหมดนี้ กค็ ือวงดนตรี ของไทย ที่คนไทยรับมาจากต่างประเทศหรื อได้รับอิทธิพล
มาจากต่างประเทศ
3. บทเพลง
ลักษณะเฉพาะของบทเพลงไทย ที่แสดงออกถึงการผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติ
ในบทเพลงของไทยได้อย่างชัดเจนก็คือ เพลงภาษาต่างๆนั้นเอง แม้วา่ เพลงไทยส่ วนใหญ่จะ
มีสำเนียงไทย แต่เพลงไทยก็มีเพลงสำเนียงภาษาต่างประเทศเป็ นจำนวนมาก จนอาจกล่าว
ได้วา่ เพลงไทยมีสำเนียงภาษาเกือบครบทุกชนชาติที่คนไทยรู ้จกั เลยทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็น
ว่าบทเพลงจากต่างชาติมีอิทธิพลต่อเพลงไทยอย่างมาก
บทที่ 4
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทยในสมัยโบราณ
จนถึงสมัยต้ นรัตนโกสิ นทร์
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทยในสมัยโบราณ
20
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, เรื่ องเดิม, หน้า 163.
การเข้ามาของอารยธรรมอินเดีย ทำให้สงั คมในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ที่เดิมเป็ น
สังคมเผ่าพัฒนาเป็ นสังคมรัฐ เกิดเป็ นรัฐในยุคแรก เช่น ฟูนาน จามปา พุกาม และรัฐในหมู่
เกาะ เช่น มัชปาหิ ต มะทะรัม เป็ นต้น และมีหลักฐานว่ากษัตริ ยข์ องอาณาจักรต่างๆในยุคนั้น
ปฏิบตั ิตนตามอย่างกษัตริ ยอ์ ินเดียทั้ง ขนบธรรมเนียม ภาษา การแต่งกาย
นอกจากอารยธรรมอินเดียแล้วยังมีอารยธรรมจากจีนเข้ามาเผยแพร่ ดว้ ย ซึ่งจะแพร่ หลายอยู่
ในบริ เวณประเทศเวียดนาม วัฒนธรรมจีนที่เด่นชัดก็คือ ลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋ า และพระพุทธ
ศาสนามหายาน ต่อมาวัฒนธรรมอิสลามได้เข้ามาเผยแพร่ ในภูมิภาคนี้ ดว้ ย โดยจะเผยแพร่ อยู่
ในบริ เวณหมู่เกาะ เนื่องจากอาณาจักรในหมู่เกาะต้องติดต่อกับพ่อค้าชาติต่างๆที่นบั ถือ
ศาสนาอิสลาม ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นเปลี่ยนแปลงไปนับถือศาสนาอิสลามเพื่อความ
สะดวกในการติดต่อทางการค้า แม้แต่ผปู้ กครองก็ตอ้ งยอมเปลี่ยนศาสนาด้วย ทำให้รัฐที่เคย
มีวฒั นธรรมแบบอินเดียเปลี่ยนไปเป็ นแบบอิสลาม และนอกจากความสัมพันธ์ก บั อินเดีย
จีน และ โลกอิสลาม แล้ว ยังมีหลักฐานว่าอาณาจักรในแถบนี้ มีการติดต่อสัมพันธ์ กับชาติ
ที่ห่างไกลอย่าง กรี ก และโรมัน อีกด้วย
การติดต่อสัมพันธ์กบั ต่างชาติอย่างมากมายเช่นนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าภูมิภาคแถบนี้
เป็ นเหมือนชุมทางในการติดต่อสัมพันธ์และการค้าขาย และเป็ นแหล่งรองรับอารยธรรมจาก
ที่ต่างๆของโลกมาตั้งแต่โบราณ ส่ งผลให้ผคู้ นในภูมิภาคนี้ มีความหลากหลายทางด้าน
เชื้อชาติและวัฒนธรรมอย่างที่สุด ซึ่งนี้ กค็ ือลักษณะพิเศษของดินแดนนี้ นนั่ เอง
สำหรับประเทศไทยนั้น ในสมัยโบราณยังไม่ถือกำเนิดขึ้น เรารู ้แต่เพียงว่ามีคนเชื้อ
สายไทยหลายกลุ่มกระจัดกระจายอยูใ่ นบริ เวณนี้ และเริ่ มสร้างบ้านสร้างเมืองของตนเองขึ้น
แล้ว แต่ในยุคแรกนั้นบ้านเมืองของไทยยังมิได้รวมตัวกันเป็ นอาณาจักรที่มีศูนย์กลางแน่ชดั
จึงมีลกั ษณะเป็ น แคว้น หรื อ รัฐ ขนาดเล็ก ที่มีการรวมตัวกันเป็ นกลุ่มคล้าย สหพันธรัฐ
ก่อนที่บา้ นเมืองจะค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็ นลำดับจนมีลกั ษณะเป็ นอาณาจักรในเวลาต่อมา
ซึ่งคนไทยในยุคนั้นก็มีวฒั นธรรมเป็ นของตนเองแล้ว พร้อมกับรู ้จกั รับและผสมผสาน
วัฒนธรรมจากต่างชาติเข้ากับวัฒนธรรมของตนเช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆที่อาศัยอยูใ่ น
บริ เวณนี้
ในอดีตบริ เวณอันเป็ นที่ต้ งั ของประเทศไทยปัจจุบนั นี้ เคยเป็ นที่ต้ งั หรื อเขตอิทธิพล
ของหลายอาณาจักรโดยเฉพาะอาณาจักรของชาวมอญ (ทวารวดี) และเขมร ไทยยุคแรกจึง
ได้รับอิทธิพลจากมอญ และเขมรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่ปรากฏในจารึ กยุคแรกๆที่มกั จะ
จารึ กเป็ น ภาษาสันสกฤต มอญ และ เขมร โดยใช้อกั ษรที่ดดั แปลงมาจากอินเดีย หรื อ
อักษรมอญหรื อเขมร แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของวัฒนธรรมอินเดีย และ เขมร มอญ เคยมีอยู่
มากในดินแดนที่ปัจจุบนั คือประเทศไทย
สำหรับร่ องรอยของดนตรี ในครั้งนั้น มีหลักฐานเป็ นลายลักษณ์อกั ษรปรากฏอยูใ่ น
จารึ กต่างๆที่คน้ พบในประเทศไทย เช่น “จารึ กแผ่นทองแดงอู่ทอง” ซึ่งมีอายุอยูร่ ะหว่าง
พุทธศตวรรษที่ 13-14 จารึ กหลักนี้ เป็ นภาษาสันสกฤต จารึ กด้วยอักษร หลังปัลลวะ ค้นพบที่
เมืองอู่ทอง จังหวัดสุ พรรณบุรี มีขอ้ ความกล่าวว่า พระเจ้าศรี อีศาวรม ได้ส่งนักดนตรี นัก
ฟ้ อนรำ และ นักขับร้องไปแสดงถวายแด่พระศิวลึงค์ ซึ่งเป็ นตัวแทนพระอิศวร21 และยังมี
จารึ กอีกหลักหนึ่งที่มีขอ้ ความกล่าวถึงการบรรเลงดนตรี เช่นกัน ก็คือ “จารึ กหิ นขอน 2”
จารึ กหลักนี้ มีอายุอยูร่ ะหว่าง พุทธศตวรรษที่ 13-14 จารึ กด้วยอักษรหลังปัลลวะ ใช้ภาษา
สันสกฤตและเขมร ค้นพบที่บา้ นหิ นขอน อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชศรี มา เนื้ อหาโดย
รวมกล่าวถึงการสร้างสิ่ งของต่างๆถวายให้กบั วัดเพื่อให้ผลบุญนั้นนำไปสู่ พทุ ธภูมิ ใน
บรรทัดที่ 11 กล่าวถึงเครื่ องดนตรี แต่ขอ้ ความลบเลือนไม่สามารถอ่านได้ ในบรรทัดที่ 12-
16 ปรากฏข้อความว่า ฆ้องสัมฤทธิ์ 3 ใบ สังข์ 3 ใบ22 ซึ่งเป็ นข้อความที่อ่านได้เพียงเท่านั้น
จารึ กทั้งสองหลักนี้ ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรมากนัก แต่กน็ บั ได้วา่ เป็ นหลักฐานอัน
ล้ำค่า เนื่องจากมีอายุเก่าแก่ถึงพุทธศตวรรษที่ 13-14 และน่าจะเป็ นหลักฐานลายลักษณ์อกั ษร
ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบในประเทศไทยอีกด้วย ข้อความในจารึ กแสดงให้เห็นว่า
วัฒนธรรมอินเดีย เขมร และ ดนตรี แบบอินเดีย มีบทบาทในท้องถิ ่นนี้อย่างมาก เพราะมีการ
ใช้ดนตรี อินเดียในการพิธี มีการฟ้ อนรำ และการเล่นดนตรี ถวายพระอิศวรในศาสนาฮินดู
และมีการใช้อกั ษรหลังปัลลวะ จารึ กเป็ นภาษาสันสกฤต และเขมร เราไม่ทราบว่าผูส้ ร้าง
จารึ กเหล่านี้เป็ นใคร อาจเป็ นชาวอินเดีย หรื อเขมร ก็ได้ พวกเขาจะเป็ นบรรพบุรุษของ
คนไทยหรื อไม่ ไม่แน่ชดั ได้ แต่สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมอินเดีย เขมร และ ดนตรี
ศักดิ์สิทธิ์แบบอินเดียได้เคยมีอิทธิพล ต่อวัฒนธรรมดนตรี ของผูค้ นที่เคยอาศัยอยู่ ในดินแดน
อันเป็ นประเทศไทยปัจจุบนั นี้
ดนตรี ที่ปรากฏในจารึ กนั้นแม้จะไม่ชดั เจนนัก แต่สนั นิษฐานได้วา่ คือ ชุด แตรสังข์
บัณเฑาะว์ เครื่ องดนตรี อนั ศักดิ์สิทธ์สำหรับบูชาเทพเจ้าของอินเดีย และเชื่อว่าน่าจะมีชุด
21
กรมศิลปากร, จารึกในประเทศไทยเล่ ม 1 อักษรปัลลวะหลังปัลลวะพุทธศตวรรษที่
12-14 (กรุ งเทพ: หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปาการ, 2529), หน้า 277.
22
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 266.
ปี่ ไฉนกลองชนะ อยูด่ ว้ ยแม้ไม่ปรากฏในจารึ ก ซึ่งต่อมาคนไทยจะเรี ยกว่าชุดเครื่ องดนตรี น้ ี
ว่า “เบญจดุริยางค์” คาดว่าชุดดนตรี อนั ศักดิ์สิทธิ์นี้ น่าจะเป็ นวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศ
ประการแรกที่ผคู้ นในยุคโบราณรับเข้ามาใช้ การที่วฒั นธรรมแบบอินเดียเขมร และ
แบบแผนดนตรี อนั ศักดิ์สิทธิ์ของอินเดีย ได้เคยแพร่ หลายอยูใ่ นอาณาเขตประเทศไทยเช่นนี้
แสดงให้เห็นถึงการยอมรับวัฒนธรรมอินเดียอย่างกว้างขวาง แต่จารึ กนี้ มีขอ้ สังเกตที่น่า
สนใจว่ามีการถวายฆ้องสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็ นเครื่ องดนตรี ด้ งั เดิมของท้องถิ่นด้วย
เชื่อได้วา่ วัฒนธรรมดนตรี เหล่านั้นคงมีอิทธิพลต่อดนตรี ของไทยไม่มากก็นอ้ ย แต่สิ่ง
ที่ปรากฏในจารึ กนั้นไม่ใช่ภาพสะท้อนของดนตรี ไทยในยุคโบราณทั้งหมด เพราะจารึ กนั้น
ถูกสร้างขึ้นเพือ่ งานพิธีกรรม ซึ่งเป็ นพิธีของคนชั้นสูงหรื อผูป้ กครอง ดังนั้นสิ่ งที่ปรากฏจึงมี
เพียงดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์แบบอินเดีย ที่ตอ้ งใช้ในพิธีเท่านั้น
แบบแผนดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์ของอินเดียนี้ จุดมุ่งหมายในการรับเข้ามาในครั้งแรกเชื่อว่า
นำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมของพระมหากษัตริ ย ์ และพิธีกรรมอันศักดิ์ สิทธิ์ในการ
บวงสรวงเทพเจ้า เนื่องจากผูป้ กครองในแถบนี้ ได้ติดต่อกับต่างประเทศและได้รับวัฒนธรรม
เข้ามา จึงได้ยกฐานะของตนให้สูงส่ งขึ้นจากผูป้ กครองเป็ นกษัตริ ยแ์ บบอินเดียที่มีความ
ศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องมีธรรมเนียมปฏิบตั ิ และเครื่ องประกอบฐานะมากมาย เพื่อให้แตกต่างจาก
คนธรรมดา ดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์ตามแบบอินเดียก็เป็ นสิ่ งหนึ่งที่รับเข้ามาเพื่อส่ งเสริ มฐานะ
จึงอาจกล่าวได้วา่ ดนตรี ประเภทนี้ เป็ นดนตรี เพื่อ ศาสนา และ การเมือง ซึ่งจะใช้เฉพาะใน
โอกาสพิเศษเท่านั้น
สำหรับดนตรี ประเภทอื่นๆนั้นไม่ปรากฏหลักฐานอยูใ่ นจารึ กเลย แต่ดงั ที่กล่าวไป
แล้วว่าผูค้ นในแถบนี้มีวฒั นธรรมดนตรี ของตนมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จึงต้องมีแบบแผน
ดนตรี ของตนเองอยูก่ ่อน ดังหลักฐานที่ปรากฏ มีภาพปูนปั้ นรู ปนักดนตรี ที่ตำบลคูบวั
จังหวัดราชบุรี ค้นพบที่เมืองโบราณบ้านคูบวั อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เมื่อ พ.ศ. 2504
เป็ นศิลปะสมัยทวารวดี สันนิษฐานว่ามีอายุอยูร่ ะหว่าง พ.ศ. 1000 - 1200 หรื อกว่า 1500 ปี มา
แล้ว นับว่าเป็ นรู ปนักดนตรี ที่เก่าแก่ที่สุดที่คน้ พบในประเทศไทย นักดนตรี ในภาพเป็ นผู้
หญิงล้วน นัง่ พับเพียบ ห่มสไบเฉี ยง ไว้ผมยาวแต่เกล้าขมวดไว้ขา้ งบนเป็ นผมทรงสูง ที่ต่าง
หูมีเครื่ องประดับคล้ายดอกไม้หอ้ ยลงมาจรดบ่า แสดงว่าคงเป็ นหญิงชาววัง จากภาพมีนกั
ดนตรี บรรเลงเครื่ องดนตรี รูปร่ างคล้ายพิณเพียะหรื อ พิณน้ำเต้า อีกผูห้ นึ่งบรรเลงพิณชนิด
หนึ่งมีหา้ สาย มีผตู้ ีกรับหนึ่งคน ตีฉิ่งหนึ่งคน และนักร้องขับลำนำอีกหนึ่งคน23 รู ปปูนปั้ นนี้
เป็ นหลักฐานอันสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า คนโบราณที่เคยอาศัยอยูใ่ น บริ เวณจังหวัดราชบุรี
นครปฐม สุพรรณบุรี อู่ทอง เมื่อกว่าพันปี มาแล้วนั้นมีแบบแผนดนตรี เป็ นของตนเอง
ซึ่งรู ปแบบดนตรี ที่ปรากฏนั้นอาจเป็ นแบบแผนของดนตรี สำหรับขับกล่อมเพื่อความบันเทิง
ในราชสำนัก หรื อเป็ นวงดนตรี เพือ่ บรรเลงประกอบในพิธีกรรมบางอย่างก็ได้
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทยในสมัยสุ โขทัย
26
วิไลเลขา ถาวรธนสาร, ประภัสสร บุญประเสริ ฐ, นันทนา เตชะวณิ ชย์ และ สิ ริรัตน์
เรื องวงษ์วาร, พืน้ ฐานวัฒนธรรมไทย, พิมพ์ครั้งที่ 12 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย-
รามคำแหง, 2542), หน้า 3-4.
บทบาทหน้าที่ เช่น กษัตริ ย ์ ขุนนาง ไพร่ ทาส ประชากรส่ วนใหญ่นบั ถือ ศาสนาพุทธ ผสม
ผสานกับ ความเชื่อเรื่ องผีวิญญาณและคติฮินดู พื้นฐานทางเศรษฐกิจคือ เกษตรกรรม และ
การค้า การค้าของสุ โขทัยมีท้งั การค้าภายใน และการค้ากับต่างประเทศ สิ นค้าออกที่สำคัญ
คือ เครื่ องสังคโลก สุ โขทัยถือได้วา่ เป็ นอาณาจักรที่มีความรุ่ งเรื องแห่งหนึ่ง ที่มีความเจริ ญ
ในหลายๆด้านทั้ง ศาสนา ศิลปะ วรรณกรรม และการค้า ซึ่งร่ องรอยความเจริ ญในสมัย
สุ โขทัยหลายประการยังคงหลงเหลือเป็ นมรดกตกทอด มาจนถึงปัจจุบนั
สมัยสุ โขทัยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลงเหลืออยูเ่ ป็ นจำนวนไม่นอ้ ยทั้ง
โบราณ
วัตถุโบราณสถาน จารึ ก และวรรณกรรม เราจึงสามารถศึกษาเรื่ องราวในสมัยสุ โขทัยได้ลึก
ซึ้งกว่าในสมัยก่อนหน้า และหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการดนตรี ในครั้งนั้นก็มีอยูม่ ากพอ
สมควร ซึ่งแตกต่างจากสมัยโบราณที่มีหลักฐานอยูน่ อ้ ยมาก ในศิลาจารึ กพ่อขุนรามคำแหง
หลักที่ 1 มีขอ้ ความตอนหนึ่งว่า “ดบงคกลอง ด้วยเสี ยงพาทย์เสี ยงพิณ เสี ยง
เลื้อนเสี ยงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน”27
ข้อความในจารึ กตอนนี้ กล่าวถึงประเพณี หนึ่งในกรุ งสุโขทัยก็คืองานทอดกฐิน ประเพณี
ทอดกฐินในกรุ งสุโขทัยนั้นจะจัดขึ้นในฤดูออกพรรษา โดยจะต้องไปทอดที่หมู่วดั อรัญญิก
เมื่อทอดเสร็ จแล้วก็เดินเข้ามาเฉลิมฉลองกันในเมืองอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นดนตรี ที่ปรากฏใน
จารึ กนี้จึงเป็ นดนตรี ที่ใช้ในงานกฐินนัน่ เอง หนังสื อจารึ กสมัยสุ โขทัย ได้ให้ความหมายของ
คำศัพท์ต่างๆดังนี้ ดบงคกลอง หมายถึงตีประโคมกลอง เสี ยงพาทย์ หมายถึงเครื่ องตีบาง
อย่าง เสี ยงพิณ หมายถึงเครื่ องดนตรี ประเภทดีดมีสาย เลื้อน หมายถึง การอ่านหนังสื อเป็ น
ทำนองเสี ยงเอื้อน, ขับ หมายถึง เสี ยงร้องเป็ นทำนอง ข้อความที่ปรากฏทั้งหมดจึงมีความ
หมายว่า กลางกรุ งสุ โขทัยแห่งนี้ระงมไปด้วยเสี ยงกลอง เสี ยงพาทย์ เสี ยงพิณ และ เสี ยงขับ
ร้อง ผูใ้ ดต้องการเล่นดนตรี หรื อ ร้องรำสามารถเล่นได้อย่างอิสระ โดยไม่มีผใู้ ดมาห้าม
ปราม28 ข้อความตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าชาวสุ โขทัยเป็ นผูน้ ิยมดนตรี ชาวเมืองนิยมเล่นนิยม
ร้องกันทัว่
นอกจากศิลาจารึ กพ่อขุนรามคำแหง หลักที่ 1 แล้ว ในจารึ กวัดพระยืน ซึ่งปรากฏ
ศักราช พ.ศ. 1913 (หลังจารึ กพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 78 ปี ) มีขอ้ ความตอนหนึ่งได้กล่าว
27
กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุ โขทัย (กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร, 2527), หน้า 13.
28
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, รามคำแหง (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์การเวก, 2520), หน้า 105.
ถึงการรับพระมหาสุ มนเถรซึ่งอาราธนาไปจากสุ โขทัยว่า “ให้ถือกระทงข้าวตอกดอกไม้ไต้
เทียน ตีพาทย์ดงั พิณฆ้องกลอง ปี่ สรไน พิสเนญชัย ทะเทียด กาหล แตรสังข์มาน กังสดาล
มรทงค์ ดงเดือด เสี ยงเลิศ เสี ยงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อ้ือดาสะท้านทัว่ ทั้งนครหริ ภุญชัยแล ”
29
ข้อความตอนนี้ แสดงให้เห็นถึงธรรมเนียมในการรับ พระมหาสุ มนเถร ของชาวหริ ภุญชัย
และ ยังทำให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุ โขทัยกับล้านนาอีกด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็
คือจารึ กหลักนี้ ทำให้เราทราบว่า เครื่ องดนตรี ที่ใช้ในสมัยนั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง จาก
ข้อความเราสามารถแยกแยะเครื่ องดนตรี ต่างๆออกมาได้ดงั นี้ พิณ ฆ้อง กลองปี่ สรไน
(ปี่ ไฉน) พิสเนญชัย (การเป่ าเขาสัตว์) ทะเทียด (กลองสองหน้า) กาหล(แตรงอน) แตรสังข์
(เครื่ องเป่ าที่ทำด้วยหอยสังข์)
29
กรมศิลปากร, จารึ กสมัยสุ โขทัย, เรื่ องเดิม, หน้า 96.
30
ปัญญา รุ่ งเรื อง, ประวัติการณ์ ดนตรีไทย (กรุ งเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2517),
หน้า 26-29.
. . . แล้วแลร้องก้องร้องขับ เสี ยงพาทย์ เสี ยงพิณ แตรสังข์ ทั้งเสี ยงกลองใหญ่
แลกลองราม กลองเล็ก แลฉิ่ งแฉ่ง บัณเฑาะว์ เสนาะวังเวง ลางคนตีกลอง
ตีพาทย์ฆอ้ ง ตีกรับสรรพทุกสิ่ ง ลางจำพวกดีดพิณและสี ซอพุงตอแลกันฉิ่ง ริ งรำ
จับระบำเต้นเหล้น สารพนักคุนทั้งหลายสรรพดุริยดนตรี อยูค่ รื นเครง อลวลละเวง
ดังแผ่นดินจะถล่ม . . .32
31
พระมหาธรรมราชาที่ ๑ พญาลิไทย, “ไตรภูมิพระร่ วง,” ใน วรรณกรรมสมัยสุ โขทัย
(กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร, 2528), หน้า 72.
32
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 81.
ลักษณะของดนตรี ในสมัยสุ โขทัยนั้น มีวฒั นธรรมดนตรี อินเดียปะปนอยูไ่ ม่นอ้ ย
เพราะปรากฏเครื่ องดนตรี ของอินเดียหลายชิ้น เช่น แตรสังข์ บัณเฑาะว์ ปี่ ไฉน เป็ นต้น
เครื่ องดนตรี เหล่านี้กค็ ือชุดดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์ของอินเดียที่รับเข้ามาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ซึ่ง
ในสมัยสุโขทัยก็ยงั คงมีการใช้อยู่ และกลายเป็ นส่ วนหนึ่งของวัฒนธรรมดนตรี สมัยสุ โขทัย
ไปแล้ว และคาดว่าในสมัยสุโขทัยอาจมีการรับวัฒนธรรมดนตรี แบบ อินเดีย เขมร เข้ามา
เพิ่มเติมด้วย เนื่องจากสุ โขทัยได้เข้ารุ กรานเขมรหลายครั้ ง ซึ่งในการสงครามแต่ละครั้งจะมี
การกวาดต้อน เชลยศึก รวมทั้ง พราหมณ์ ปุโรหิ ต จากเขมร กลับมายังสุ โขทัย
ซึ่งคนเหล่านี้ได้นำวัฒนธรรมเขมรเข้ายังสุ โขทัยด้วย โดยเฉพาะในราชสำนัก ดังจะเห็นได้
จากจารึ กในสมัยพระยาลิไทที่มีคำราชาศัพท์ภาษาเขมรเข้ามาปะปนมากขึ้น33 การที่สุโขทัยมี
การรับวัฒนธรรมจากเขมรเข้ามานี้ ทำให้สนั นิษฐานว่าอาจมีการรับวัฒนธรรมดนตรี เพิ่มเติม
ด้วย แต่น่าจะเป็ นดนตรี สำหรับพิธีกรรมต่างๆเท่านั้น
ในสมัยสุ โขทัย การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ระหว่างดนตรี ทอ้ งถิ่นเข้ากับดนตรี
จากต่างประเทศ เริ่ มปรากฏชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น ในจารึ กวัดพระยืนตอนที่บรรยายถึงการ
ประโคมดนตรี เพื่อต้อนรับพระมหาสุ มนเถรนั้น จะเห็นได้วา่ มีการใช้เครื่ องดนตรี หลาก
หลายชนิดทั้ง พิณ ฆ้อง กลอง ปี่ ไฉน เป่ าเขาสัตว์ กลองสองหน้า แตรงอน
แตรสังข์ กังสดาล กลองทัด เมื่อพิจารณาแล้วก็จะพบว่าเครื่ องดนตรี ที่ใช้น้ นั มีท้ งั เครื่ อง
ดนตรี ที่เป็ นเครื่ องประโคมของท้องถิ่นเช่น ฆ้อง กลอง กังสดาล และเครื่ องดนตรี ที่เป็ นของ
ต่างประเทศ เช่น ปี่ ไฉน แตรงอน แตรสังข์ แสดงให้เห็นว่าในสมัยสุ โขทัยนั้น มีการนำ
เครื่ องดนตรี ของท้องถิ่นและเครื่ องดนตรี ของต่างประเทศมาบรรเลงพร้อมกัน ซึ่ง
หมายความว่าเป็ นผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี จากทั้งสองแหล่งเข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะเช่น
นี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ยคุ โบราณแล้ว แต่ในสมัยสุโขทัยได้ปรากฏหลักฐานชัดเจนมากขึ้น วง
ดนตรี แบบผสมเช่นนี้คงจะเป็ นลักษณะการประโคมดนตรี ในสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็ นสิ่ งที่
คนในยุคนั้นได้พฒั นาขึ้น ลักษณะที่ปรากฏนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การผสมผสาน
วัฒนธรรมดนตรี มีอยูใ่ นสมัยสุ โขทัย และเมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่ปรากฏก็จะเห็นได้วา่
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในสมัยนี้ ยังคงมีลกั ษณะเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงจากสมัย
ก่อนหน้า วัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศที่ปรากฏอยูใ่ นสมัยนี้ ยังคงเป็ นวัฒนธรรมจากอินเดีย
33
วิไลเลขา ถาวรธนสาร, ประภัสสร บุญประเสริ ฐ, นันทนา เตชะวณิ ชย์ และ สิ ริรัตน์
เรื องวงษ์วาร, เรื่ องเดิม, หน้า 67.
อย่างไรก็ดี แม้วา่ ในสมัยสุโขทัยจะมีหลักฐานที่ชดั เจนมากขึ้น แต่เรายังไม่สามารถ
ศึกษาลักษณะการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในยุคนั้นให้ลึกซึ้ งมากไปกว่านี้ได้ เนื่องจาก
ในสมัยสุโขทัยมีร่องรอยหลักฐานเฉพาะดนตรี ที่ใช้ในพิธีการ ดังที่ปรากฏอยูใ่ นจารึ กต่างๆ
เท่านั้น ถึงแม้วา่ เราจะมีหลักฐานแน่ชดั ว่า ผูค้ นในสมัยสุ โขทัยนิยมการเล่นดนตรี และ
มีวฒั นธรรมดนตรี อยูใ่ นระดับสูง แต่กย็ งั ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะบ่งบอกได้วา่ ในดนตรี ประ
เภทอื่นๆที่บรรเลงกันโดยชาวบ้านชาวเมืองนั้น มีการนำวัฒนธรรมดนตรี จากต่างประเทศ
เข้ามาผสมผสานบ้างหรื อไม่และอย่างไร เราจึงยังไม่สามารถศึกษาได้ในเวลานี้ แต่เชื่อว่า
ลักษณะเช่นนั้นน่าจะมีข้ ึนแล้วอย่างแน่นอน
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติ
ในดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา
35
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 14-16.
หลายทางด้านเชื้อชาติเพียงใดนั้น สามารถศึกษาได้จากหลักฐานต่างๆที่ปรากฏ เช่น กฎ
มณเฑียรบาลซึ่งตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีขอ้ ความตอนหนึ่งว่า
“อนึ่ง พริ ยะ หมู่แขก ขอม ลาว พม่า เม็ง มอญ มสุ มแสง จีน จาม ชวา นานาประเทศทั้ง
ปวง ”36 ข้อความตอนนี้ แสดงให้เห็นว่าในกรุ งศรี อยุธยามีชาวต่างชาติอาศัยอยูร่ ่ วมกัน
มากมาย ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่าสังคมของอยุธยาในเวลานั้นมีความหลากหลายทางด้าน
เชื้อชาติเพียงใด นอกจากเอกสารของไทยแล้ว ในจดหมายเหตุต่าง ๆ ของชาวต่างประเทศที่
เข้ามาในสมัยหลังก็มีการกล่าวถึงเรื่ องนี้ ไว้เช่นเดียวกัน เช่น ลา ลูแบร์ ราชทูตชาวฝรั่งเศส
ได้บนั ทึกไว้วา่ คนไทยส่ วนใหญ่มีเชื้อสายผสมกับคนต่างด้าว ซึ่งเป็ นผลมาจากการที่กรุ ง
ศรี อยุธยามีคนต่างด้าวอพยพเข้าตั้งหลักแหล่งเป็ นเวลาช้านาน เหตุที่มีคนต่างชาติอพยพเข้า
มาจำนวนมากเป็ นเพราะกรุ งศรี อยุธยาอนุญาตให้ทำการค้าได้โดยเสรี ประกอบกับมีการรบ
ราฆ่าฟันในประเทศอินเดียรวมไปถึงญวนและประเทศในแถบเอเชียใต้ จึงมีผคู้ นจาก
ประเทศเหล่านั้นอพยพลี้ภยั เข้ามาเสมอ กล่าวกันว่าในอยุธยานั้นมีชนต่างชาติอยูถ่ ึง 40
ชนชาติ ลา ลูแบร์ กล่าวว่าในกรุ งศรี อยุธยานั้นมิได้มีชนต่างชาติอยูถ่ ึง 40 ชนชาติจริ งตามที่
บอกเล่ากันมา เพราะเมื่อรวบรวมแล้วพบว่ามีเพียง 21 ชนชาติเท่านั้น ที่กล่าวกันว่ามีถึง 40
ชนชาติจึงเป็ นเพียงการโอ้อวดตามนิสยั คนไทยเท่านั้น37 อย่างไรก็ตามแม้จำนวนจะผิดกัน
แต่บนั ทึกของ ลา ลูแบร์ ก็แสดงให้เห็นว่ากรุ งศรี อยุธยาเป็ นอาณาจักรที่มีชาวต่างชาติอาศัย
อยูม่ ากมาย นอกจากนี้ นิโกลาส์ แชรแวส ชาวฝรั่งเศสอีกผูห้ นึ่งก็กล่าวไว้ในทำนองเดียวกัน
ว่า
36
วินยั พงศ์ศรี เพียร, บรรณาธิการ, กฎมณเฑียรบาล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ผลงานวิจัย
(กรุ งเทพฯ: โครงการวิจยั เมธีวิจยั อาวุโส สกว, 2548), หน้า 76.
37
ลา ลูแบร์ , ราชอาณาจักรสยาม, แปลโดย สันต์ ท.กมลบุตร, พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์ศรี ปัญญา, 2548), หน้า 45.
หลายชิ้นทั้งของไทยและต่างประเทศให้ขอ้ มูลเรื่ องคนต่างชาติในกรุ งศรี อยุธยาสอดคล้อง
กัน แสดงให้เห็นว่ากรุ งศรี อยุธยาในขณะนั้นมีความหลากหลายทางด้านประชากรเป็ นอย่าง
ยิง่ จนอาจกล่าวได้วา่ กรุ งศรี อยุธยาเป็ นเหมือนเมืองนานาชาติทีเดียว
ด้วยลักษณะของกรุ งศรี อยุธยาเช่นนี้ จึงทำให้การดนตรี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยามี
พัฒนาการที่แตกต่างไปจากเดิม ตามการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง คือดนตรี มีความหลาก
หลาย มีแบบแผนซับซ้อน และดนตรี บางประเภทได้รับการประดิษฐ์ให้งดงามยิง่ ขึ้น โดย
เฉพาะดนตรี ในราชสำนัก หลักฐานทางการหลายชิ้นในสมัยอยุธยาได้ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับ
กิจการดนตรี ในครั้งนั้น เช่น พระไอยการตำแหน่งนาพลเรื อน ซึ่งตราขึ้นในสมัยสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนารถ (พ.ศ. 1991-2031) มีการกำหนดตำแหน่งพร้อมศักดินาให้แก่
พนักงาน
ปี่ พาทย์ และ กรมละคร39 นอกจากนั้น ในพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง
ยังได้กำหนดตำแหน่งพร้อมศักดินา ให้แก่ กรมกลองชนะ และ กรมแตร40 แสดงให้เห็นว่า
นักดนตรี ในสมัยนั้นมีความสำคัญมากถึงขนาดกำหนดให้เป็ นขุนนางชั้นหนึ่งทีเดียว เหตุที่
ดนตรี มีความสำคัญเป็ นเพราะ ในสมัยอยุธยา ราชสำนักมีขนบธรรมเนียมที่เคร่ งครัด
คติโบราณเชื่อกันว่าเครื่ องดนตรี บางชิ้น เช่น แตรและกลองชนะเป็ นเครื่ องดนตรี ศกั ดิ์ สิทธิ์
เป็ นเครื่ องประกอบฐานะของพระมหากษัตริ ย ์ ดังนั้นในพระราชพิธีต่างๆของ
พระมหากษัตริ ยจ์ ึงต้องมีดนตรี เหล่านี้ประกอบเสมอ ดังปรากฏในคำให้การชาวกรุ งเก่าที่
บรรยายถึง ประเพณี กระบวนแห่เสด็จประพาส และ ประเพณี เสด็จออกรับแขกเมือง ว่า
38
นิโกลาส์ แชรแวส, ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติและการเมืองแห่ งราชอาณาจักรสยาม,
แปลโดย สันต์ ท. กมลบุตร (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์กา้ วหน้า, 2506), หน้า 60-61.
39
กฏหมายตรา ๓ ดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง เล่ ม ๑
(ปรับปรุงใหม่ ) (กรุ งเทพฯ: สุ ขภาพใจ, 2548), หน้า 126.
40
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 189.
มีการใช้เครื่ องประโคมคือ สังข์ แตร ฆ้องชัย กลองชนะในกระบวนแห่41 นอกจากนั้น กลอง
ชนะ ยังใช้ในการศึกสงครามอีกด้วย เพราะ มีชื่อเป็ นมงคลหมายถึงชัยชนะ ส่ วน แตร พระ
มหากษัตริ ย ์ จะใช้ในงานพระราชพิธีเกียรติยศ เช่น เสด็จออกรับทูตานุทูต งานเสด็จ
พระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค หรื อในกระบวนแห่อื่นๆ42 ในสมัย
อยุธยามีพระราชพิธีเหล่านี้บ่อยครั้ง ทางราชการจึงต้องเตรี ยมพนักงานเหล่านี้ให้พร้อมอยู่
เสมอ
คณะราชทูตชาวเปอร์เชียที่เดินทางเข้ามาในกรุ งศรี อยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ได้มีโอกาสพบเห็นการบรรเลงปี่ กลองชนะในขบวนเสด็จ จึงได้บรรยายลักษณะการบรรเลง
ของวงปี่ กลองชนะ เอาไว้ในเอกสารสำเภากษัตริ ยส์ ุ ลยั มาน ดังนี้
. . . พวกเขาเดินเท้าเปล่าไม่สวมหมวกถือหอกปื นและดาบไม่มีฝัก ทหารอีก
กลุ่มหนึ่งเดินตามมาพลางตีกลองแบบต่างๆที่พวกเขาสะพายไว้บนไหล่ทหาร
คนอื่นๆยุง่ อยูก่ บั การเล่นตีหม้อตีโหม่งหรื อเป่ าขลุ่ยและแตรงอนชนิดหนึ่ง
ยังมีแตรอีกสองชนิดซึ่งเหมือนกับแตรที่พวกฝรั่งใช้กนั . . .43
ราชสำนักอยุธยานอกจากจะจัดดนตรี ให้เป็ นกรมหนึ่งที่มีความสำคัญแล้ว การปฏิบตั ิ
พระราชพิธีต่าง ๆ ในสมัยอยุธยานั้น ยังมีการกำหนดแบบแผนดนตรี ที่ตอ้ งใช้ ไว้อย่างเป็ น
แบบแผนชัดเจน ดังปรากฏใน การพระราชพิธีตุลาภาร ว่า
41
คำให้ การชาวกรุงเก่ า คำให้ การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่ า ฉบับ
หลวงประเสริฐอักษรนิต์ิ, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2515), หน้า
270 -273.
42
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, ร้องรำทำเพลง ดนตรี และนาฎศิลป์ ชาวสยาม, หน้า 29-34.
43
อิบนุ มุฮมั มัก อิบรอฮีม, “สำเภากษัตริ ยส์ ุ ลยั มาน,” แปลโดย กิติมา อมรทัต และ
ไรน่าน อรุ ณรังษี ใน ความสั มพันธ์ อิหร่ าน-ไทย ทางด้ านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
(กรุ งเทพฯ: ศูนย์วฒั นธรรมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่ าน, 2546),
หน้า 67.
มโหระทึก” 44 แสดงให้เห็นว่าในพระราชพิธีต่างๆนั้น มีการกำหนดแบบแผนดนตรี เอาไว้
จนเป็ นธรรมเนียม โดยปกติจะใช้แบบแผนดนตรี อนั ศักดิ์ สิทธ์ ประกอบไปด้วย ฆ้องไชย
แตรสังข์ มโหระทึก ซึ่งเป็ นแบบแผนที่สืบทอดมาแต่เดิมนัน่ เอง นอกจากดนตรี สำหรับพระ
ราชพิธีต่างๆแล้ว ในราชสำนักอยุธยายังมีดนตรี เพื่อความบันเทิงสำหรับชนชั้นสูงอีกด้วย
เช่นวงมโหรี ในราชสำนัก วงปี่ พาทย์สำหรับประกอบโขนละคร เป็ นต้น ซึ่งวงดนตรี
ประเภทต่างๆในสมัยอยุธยานั้นมีหลักฐานว่าค่อย ๆ ได้รับการพัฒนาเป็ นลำดับ จนมีลกั ษณะ
คล้ายคลึงกับในปัจจุบนั ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าดนตรี ในสมัยอยุธยา โดยเฉพาะใน
ราชสำนักนั้นมีการพัฒนาอย่างสูง และมีแบบแผน ระเบียบวิธีปฏิบตั ิอนั ซับซ้อนแทบไม่ต่าง
จากปัจจุบนั เลยทีเดียว
นอกจากดนตรี ในราชสำนักแล้ว ดนตรี ของชาวบ้านทัว่ ไปในสมัยอยุธยาก็มีความ
เจริ ญรุ่ งเรื องมาก ดังจะเห็นได้วา่ ในสมัยนั้นมีการละเล่นประเภทต่าง ๆ ปรากฏอยูท่ วั่
พระนคร ทั้งการละเล่นของไทย และ การละเล่นของต่างชาติ เช่น งิ้ว หนัง โขน หุ่น
ละคร ปี่ พาทย์ เพลงสักวา กีฬาต่าง ๆ เช่น ชกมวย แข่งเรื อ ซึ่งการละเล่นต่าง ๆ
ล้วนมีดนตรี บรรเลงประกอบทั้งสิ้ น ชาวบ้านในครั้งนั้นมีจิตใจรักการดนตรี นิยมเล่นดนตรี
กันไปทัว่ จนบางครั้งเล่นกันจนเกินขอบเขตล่วงล้ำเข้าไปแม้ในเขตพระราชฐาน จนต้องมี
การออก กฎมณเฑียรบาล มาควบคุมกันเลยทีเดียว45 แม้แต่ชาวต่างชาติอย่าง ลา ลูแบร์ ยัง
กล่าวว่าชาวไทยนิยมเล่นดนตรี กนั มาก ชาวบ้านนิยมขับร้องเล่นในตอนเย็น ๆ ตามลานบ้าน
พร้อมกับเครื่ องดนตรี 46 แสดงให้เห็นว่าการดนตรี ของชาวบ้านในสมัยอยุธยาก็มีความเจริ ญ
ไม่นอ้ ยไปกว่าดนตรี ในราชสำนัก
ดนตรี เป็ นสิ่ งที่ชาวไทยในสมัยกรุ งศรี อยุธยานิยม จึงมีผปู้ ระดิษฐ์เครื่ องดนตรี ออกขาย
และมีถนนย่านหนึ่งมีร้านขายเครื่ องดนตรี ดังปรากฏในคำให้การขุนหลวงวัดประดู่
ทรงธรรมตอนหนึ่งว่า “ถนนป่ าโทนมีร้านขาย ทับ โทน เรไร ปี่ แก้ว จังหน่อง เพลี้ย ขลุ่ย”47
44
วินยั พงศ์ศรี เพียร,บรรณาธิการ, เรื่ องเดิม, หน้า 144.
45
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 72-73.
46
ลูแบร์, เรื่ องเดิม, หน้า 211.
ซึ่งก็คือร้านขายเครื่ องดนตรี หลาย ๆ ชนิด การที่มีร้านขายเครื่ องดนตรี อยูเ่ ช่นนี้สะท้อนให้
เห็นว่า ในครั้งนั้นการดนตรี มีความเจริ ญมาก และดนตรี ได้แพร่ หลายไปทัว่ ชาวบ้านทัว่ ไป
ไม่วา่ ผูใ้ ดก็สามารถซื้ อหาเครื่ องดนตรี มาบรรเลงได้ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้วา่ ดนตรี ในสมัย
กรุ งศรี อยุธยานั้นมีความเจริ ญรุ่ งเรื องไม่นอ้ ยไปกว่าปัจจุบนั เลยทีเดียว และยังเป็ นรากฐาน
อันสำคัญของดนตรี ไทยในสมัยปัจจุบนั อีกด้วย
เมื่อกรุ งศรี อยุธยามีความเจริ ญทางดนตรี ที่เพิม่ พูนขึ้นเช่นนี้ ประกอบกับลักษณะบ้าน
เมืองที่พฒั นาแตกต่างไปจากเดิม จึงส่ งผลให้ในสมัยกรุ งศรี อยุธยาได้เกิดการผสมผสาน
วัฒนธรรมดนตรี อย่างชัดเจนมากขึ้น การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา
เกิดขึ้นในดนตรี ทุกระดับ ซึ่งพบว่าการผสมผสานมีอยูห่ ลายประการดังนี้
ประการแรกคือดนตรี ในราชสำนัก หลักฐานในสมัยกรุ งศรี อยุธยาหลายชิ้นที่กล่าวถึง
การประกอบพระราชพิธีต่างๆของราชสำนัก มักจะบรรยายถึงขั้นตอนในการประกอบพิธี
ในครั้งนั้นว่า ส่ วนใหญ่มีพราหมณ์เป็ นผูป้ ระกอบพิธี และมีการบรรเลงดนตรี ศกั ดิ์ สิทธิ์ซึ่ง
ก็คือ ชุด แตรสังข์ บัณเฑาะว์ อันเป็ นแบบแผนจากอินเดียที่รับเข้ามาใช้เนิ ่นนานแล้ว และ
คงใช้บรรเลงอยูไ่ ม่ต่างจากในอดีต แต่ วงเครื่ องประโคม ที่ใช้ในโอกาสอื่นๆ เช่น กระบวน
เสด็จพระราชดำเนิน กระบวนพยุหยาตรา การออกรับราชทูต ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา พบว่ามี
การพัฒนาให้มีขนาดใหญ่โตขึ้น ประกอบไปด้วยเครื่ องดนตรี หลายชนิด เช่น สังข์ แตร
ฆ้องชัย กลองชนะ มโหระทึก ฯลฯ ซึ่งเป็ นการผสมผสานระหว่างเครื่ องดนตรี ศกั ดิ์สิทธิ์ของ
อินเดียและเครื่ องประโคมของท้องถิ่น ซึ่งลักษณะเช่นนี้พบว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุ งสุ โขทัย
แล้วเช่นกัน แต่ในสมัยกรุ งศรี อยุธยาพบว่ามีเครื่ องดนตรี ต่างประเทศเพิ่มเข้ามาอีกชิ้นหนึ่ง
นัน่ ก็คือ แตรฝรั่ง (trumpet)
แตรชนิดนี้ มีชื่อปรากฏอยูใ่ นกฎมณเฑียรบาล โดยเรี ยกว่า แตรลางโพง48 คนไทยได้นำแตร
ชนิดนี้มาบรรเลงร่ วมกับวงเครื่ องประโคมของไทย และนำมาใช้ในโอกาสต่างๆ คนไทยนำ
แตรฝรั่งมาใช้บรรเลงบ่อยครั้ง จึงมีชาวต่างประเทศได้เห็นวงดนตรี ชนิดนี้ แล้วบันทึกไว้ เช่น
47
วินยั พงศ์ศรี เพียร, บรรณาธิการ, คำให้ การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจาก
หอหลวง (กรุ งเทพฯ: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทาง
ประวัติศาสตร์และโบราณคดี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , 2534), หน้า 27.
48
วินยั พงศ์ศรี เพียร,บรรณาธิการ, กฎมณเฑียรบาล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ผลงานวิจยั ,
เรื่ องเดิม, หน้า 69.
ในพงศาวดารเรื่ องฝรั่งเศสกับไทย ได้กล่าวถึงดนตรี ที่ราชสำนักไทยนำมาต้อนรับราชทูต
เดอ โชมองต์ ว่า “ในระหว่างที่แห่พระราชสาสน์ไปตามทางตลอดถึงพระราชวัง ได้มี
เครื่ องปี่ พาทย์ทำเพลงบรรเลงไปเสี ยงสนัน่ หวัน่ ไหว หนวกหูเต็มที แต่จะว่าไปก็พอฟังได้
เครื่ องปี่ พาทย์น้ นั มีแตร มีกลอง มีฆอ้ ง มีแตรฝรั่งเศส มีระฆัง และ มีปี่”49 และ ราชทูตชาว
เปอร์เชียได้กล่าวไว้ในเอกสารสำเภากษัตริ ยส์ ุ ลยั มานว่า คนไทยมีแตรอีกสองชนิดที่เหมือน
พวกฝรั่งใช้กนั
คนไทยนำแตรฝรั่งเข้ามาใช้ต้ งั แต่เมื่อใดไม่แน่ชดั แต่การที่มีเครื่ องดนตรี ชิ้นนี้ปรากฏ
อยูใ่ นกฎมณเฑียรบาล ทำให้เชื่อว่าน่าจะใช้กนั มานานแล้ว ผูเ้ ขียนสันนิษฐานว่าเหตุที่
คนไทยนำแตรชนิดนี้มาใช้ เป็ นเพราะในสมัยนั้นคนไทยเริ่ มติดต่อกับชาติตะวันตก และ
คนไทยได้พบเห็นชาวตะวันตกใช้แตรชนิดนี้ เป่ าประโคมในโอกาสต่างๆ คนไทยอาจเห็น
ว่าเป็ นเครื่ องประโคมเหมือนกัน และสามารถนำมาบรรเลงร่ วมกับวงเครื่ องประโคมของ
ไทยได้ และยังช่วยเสริ มให้วงเครื่ องประโคมของไทยอลังการมากขึ้น คนไทยจึงนำเครื่ อง
ดนตรี ชนิดนี้ มาใช้ร่วมกับวงดนตรี ของไทย ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า คนไทยในสมัย
กรุ งศรี อยุธยา รู ้จกั ที่จะเลือกสรรวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศ มาผสมผสานเข้ากับ
วัฒนธรรมดนตรี ของไทย
นอกจากแตรฝรั่งแล้วในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ยังมีการนำเครื่ องดนตรี และวงดนตรี ประ
เภทอื่นๆจากต่างประเทศเข้ามาใช้ ที่พบเห็นได้บ่อยครั้งก็คือ ปี่ กลองมลายู และ เครื่ องกล
องแขก วงดนตรี ชนิดนี้ เดิมเป็ นของชาวมลายูและชวา คนไทยในสมัยกรุ งศรี อยุธยานำมาใช้
กันมากจนกลายเป็ นส่ วนหนึ่งของเครื่ องดนตรี ไทยที่มีความสำคัญ
ในพระไอยการ ตำแหน่งนาทหารหัวเมือง จึงมีการกำหนดตำแหน่งพนักงานกลองแขก50 ซึ่ง
เหตุผลที่คนไทยได้นำเอากลองเหล่านี้มาใช้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ ได้ทรง
อธิบายไว้ดงั นี้
. . . ในเครื่ องปี่ พาทย์ที่ไทยเราใช้กนั อยูท่ ุกวันนี้ เป็ นเครื่ องที่ได้มาจากแขก ๒ อย่าง
เรี ยกว่า “กลองมลายู” ได้มาจากพวกมลายูอย่าง ๑ เรี ยกว่า “กลองแขก” เข้าใจว่าได้มา
49
ประชุมพงศาวดารภาค 27 พงศาวดารเรื่องฝรั่งเศสกับไทย (กรุ งเทพฯ: องค์การค้า
ของคุรุสภา, 2506), หน้า 11-12.
50
กฏหมายตรา ๓ ดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เล่ม ๑
(ปรับปรุ งใหม่), เรื่ องเดิม, หน้า 189.
จากพวกชวาอย่าง ๑ เครื่ องปี่ พาทย์แขก ๒ อย่างนี้คล้ายคลึงกัน แต่ลกั ษณะประสมวง
กลองมลายูใช้กลอง ๔ ใบ ปี่ เลา ๑ ฆ้องโหม่งใบ ๑ รวมคนวงละ ๖ คน กลองแขกใช้
กลอง ๒ ใบ กับปี่ เลา ๑ ฆ้องโหม่งใบ ๑ รวมคนวงละ ๔ คน แต่กลอง ๒ ชนิดผิดกัน
กลองมลายูใช้ร้อยโยงด้วยสายหนัง รู ปเขื่องกว่ากลองแขกตีดว้ ยไม้หน้าหนึ่งตี
ด้วยมือหน้าหนึ่ง กลองแขกนั้นร้อยโยงด้วยหวายและตีดว้ ยมือทั้ง ๒ หน้า
พิเคราะห์ดูตามลักษณะที่ไทยเราใช้กลองมลายูและกลองแขกเข้าใจว่า
เครื่ อง ๒ อย่างนี้เห็นจะได้มายังประเทศนี้ ต่างคราวต่างเรื่ องกัน ไทยจึงเอามาใช้
ต่างกัน เครื่ องกลองมลายูน้ นั เดิมทำนองจะใช้ในกระบวนพยุหยาตรา ซึ่งเกณฑ์
พวกมลายูเข้ากระบวน ไทยจึงได้ใช้เครื่ องกลองมลายูในกระบวนแห่ เช่นแห่
คเชนทรสนานเป็ นต้น จนถึงแห่พระบรมศพและพระศพเจ้านาย ลงปลายเลยใช้
เป็ นเครื่ องประโคมศพเช่น ใช้โดยลำพังเรี ยกว่าตีบวั ลอย และใช้ในปี่ พาทย์นางหงส์
มาจนบัดนี้ เครื่ องกลองแขกนั้นเดิมเมื่อได้มา เห็นจะใช้ในการฟ้ อนรำ เช่นรำกระบี่
กระบอง ทำนองจะมาแต่แขกรำกริ ชก่อน แต่ในการแห่กใ็ ช้เช่นนำกระบวนแห่
โสกันต์ และนำเสด็จพระราชดำเนิน กระบวนเรื อเป็ นต้นแต่ลดฆ้องโหม่งเสี ย
สงสัยว่าเดิมก็จะใช้กลองมลายูใน การแห่ เช่นว่าแต่ช้ นั หลังมาเมื่อใช้กลองมลายู
เพรื่ อไปจนการศพ เกิดรังเกียจ จึงเอากลองแขก มาใช้ในกระบวนแห่และลดฆ้องเสี ย
ทำนองจะเป็ นเช่นว่านี้
ที่เอากลองแขกเข้าประสมกับเครื่ องปี่ พาทย์ไทย เห็นจะเป็ นเมื่อเอาเรื่ องอิเหนา
ของชวามาเล่นละครไทย ในครั้งกรุ งศรี อยุธยาเป็ นราชธานีใช้เมื่อละครรำเพลงแขก
เช่นรำกริ ชเป็ นต้น ครั้นต่อมาเมื่อปี่ พาทย์ทำเพลงอันใดซึ่งเนื่องมาแต่เพลงแขก เช่น
เพลงเบ้าหลุดและสระบุหรงเป็ นต้น ก็ใช้กลองแขกทำกับเครื่ องปี่ พาทย์แทนโทน
ตลอดไปจนถึงเพลงที่เอามาแต่มโหรี เช่นเพลงพระทองก็ใช้กลองแขกแทนทับและ
รำมะนา กลองแขกจึงเลยกลายเป็ นเครื่ องอุปกรณ์อนั หนึ่งอยูใ่ นเครื่ องปี่ พาทย์ . . . 51
51
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ตำนานเครื่องมโหรีปี่พาทย์
และประชุมบทเพลงไทยเดิม ภาคหนึ่ง ภาคสอง และภาคสาม (กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์มหา-
มงกุฎราชวิทยาลัย, พิมพ์เนื่องในงาน ฌาปนกิจศพ นาย จรู ญ จูฑะสุ ต ณ ณาปนสถานคุรุสภา
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร วันที่ 4 มิถุนายน 2512), หน้า 11-12
นี่กค็ ือ ที่มาของการนำ ปี่ กลองมลายู และ กลองแขก เข้ามาใช้ในดนตรี ไทย ตาม
ทัศนะของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะถูกต้องตรงกับความเป็ นจริ ง
อย่างมาก การรับเครื่ องดนตรี เหล่านี้เข้ามาถือได้วา่ มีความสำคัญต่อวงการดนตรี ไทยอย่าง
ยิง่ เพราะเครื่ องดนตรี ที่รับมานั้นได้กลายเป็ นเครื่ องดนตรี ชิ้นสำคัญของดนตรี ไทยที่นำมา
ใช้ในหลายๆโอกาส และได้นำมาผสมในวงประเภทต่างๆ ทั้งมโหรี ปี่ พาทย์ ด้วย ซึ่งทำให้
วงดนตรี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยาพัฒนาขึ้นกว่าเดิม เครื่ องดนตรี เหล่านี้ยงั คงใช้กนั อยูแ่ ม้ใน
ปัจจุบนั
นอกจากการรับเอาเครื่ องดนตรี และแบบแผนวงดนตรี จากต่างประเทศเข้ามาใช้แล้ว
ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ยังมีการรับวัฒนธรรมดนตรี จากต่างประเทศอีกประการหนึ่งที่สะท้อน
ให้เห็นถึงการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ของคนไทยในสมัยกรุ งศรี อยุธยา นัน่ ก็คือบทเพลง
ในหนังสื อประชุมบทมโหรี ซึ่งเป็ นหนังสื อที่รวบรวม ชื่อเพลง และ บทมโหรี โบราณ ที่
คาดว่ามีอายุเก่าแก่ ถึงสมัยกรุ งศรี อยุธยา หรื อ หากไม่ใช่กน็ ่าจะเป็ นบทเพลงในสมัยรัชกาล
ที่ 1 ได้ปรากฏบทเพลงที่มีชื่อเป็ นต่างชาติจำนวนมาก และมีหลากหลายชนชาติ เช่น52
มอญ ได้แก่ มอญแปลง สมิงทอง เขมร ได้แก่ นางนกขอม ขอมน้ำเต้า ขอมรำ เขนง
แขก ได้แก่ เนรปาตี ยิกิน ปะตกโอด ปะดงพัน กะระนะ สระบุโหร่ ง มัดกรำ เนียรคัน
โยก โฉลกแขก ฯลฯ ญี่ปุ่น ได้แก่ ยิบุ่น และยังมีเพลงสำเนียงไทยด้วย เช่น นางนาค
พระทอง มหาไชย ทองย้อย ทองย่อน นางไห้ พระนคร อรชร พังคา บังใบ ถอนสมอ
ฯลฯ เพลงเหล่านี้คาดว่าเป็ นเพลงต่างประเทศที่คนไทยรับเข้ามา โดยวิธีจดจำจากชาวต่าง
ชาติที่อาศัยอยูใ่ นกรุ งศรี อยุธยา เชื่อว่าในสมัยกรุ งศรี อยุธยาคงจะรับเข้ามาโดยตรงโดยมิได้
ดัดแปลง เพราะส่ วนใหญ่แล้วจะมีชื่อเป็ นภาษาต่างประเทศ53 เพลงเหล่านี้ในปัจจุบนั ก็คือ
เพลงภาษานัน่ เอง
52
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน สุ จิตต์ วงษ์เทศ, บรรณาธิการ, ประชุมบทมโหรี มีบท
มโหรีเก่ าใหม่ และพระราชนิพนธ์ ฉบับรวบรวมพิมพ์ครั้ งแรก (กรุ งเทพฯ: เรื อนแก้ว
การพิมพ์, 2542)
53
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, “ลิเกมาจากไหน รำมะนา ออกภาษา เพลงนานาชาติ ก่อนเป็ นลิเก
ยีเ่ ก,” มติชนรายสั ปดาห์ ฉบับที่ 1370 (17-23 พฤศจิกายน 2549): หน้า 78.
การที่ในสมัยกรุ งศรี อยุธยามีเพลงประเภทนี้ ปรากฏอยู่ แสดงให้เห็นว่าศิลปิ นในสมัย
นั้นยอมรับเพลงต่างประเทศเข้ามาร่ วมบรรเลง และได้พยายามผสมผสานบทเพลงจาก
วัฒนธรรมต่างๆเข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เพลงไทยมีความหลากหลาย และมีสำเนียงแปลกๆ
ใหม่ๆมากขึ้น เชื่อว่า ชาวบ้านอาจนำเพลงเหล่านี้มาบรรเลงเพื่อความสนุกสนาน หรื อใช้
ประกอบการแสดง ซึ่งนี้ กค็ ือลักษณะการผสมผสานบทเพลงที่มีข้ ึนตั้งแต่ในสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยา และลักษณะเช่นนี้จะเป็ นแนวทางในการสร้างสรรค์ บทเพลงไทยในยุคต่อมาด้วย
นอกจากเพลงแล้ว การบรรเลงดนตรี ของชาวบ้านทัว่ ไปในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ก็เชื่อ
ได้วา่ มีการนำเครื่ องดนตรี ของต่างชาติบางชิ้นมาร่ วมบรรเลงด้วย ดังที่ปรากฏใน
จดหมายเหตุ ของ ลา ลูแบร์ ราชทูตชาวฝรั่งเศส ตอนหนึ่งว่า
. . . ชาวสยามก็เช่นเดียวกับชาวจีน คือไม่รู้จกั แยกส่ วนเครื่ องดนตรี ชนิดต่างๆ
ในวงและไม่รู้จกั การขับร้องประสานเสี ยงอีกด้วย ชัว่ แต่ขบั ร้องไปพร้อมๆกัน
เท่านั้น เครื่ องดนตรี ของพวกเขาก็หาได้ไม่ยากนัก และสำหรับผูม้ ีความรู ้เรื่ อง
ดนตรี อยูบ่ า้ งแล้ว ก็พอจะเห็นได้วา่ เครื่ องดนตรี ที่แปลกออกไปนั้นล้วนมาจาก
ต่างประเทศทั้งสิ้ น . . .54
54
ลา ลูแบร์ , เรื่ องเดิม, หน้า 301.
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ส่งเสริ มให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยา ก็คือความเปิ ดกว้างของคนไทยที่ค่อนข้างให้ความยอมรับและความนิยม ต่อ
มหรสพและดนตรี จากต่างชาติ หลักฐานในสมัยกรุ งศรี อยุธยาที่กล่าวถึงการจัดงานมหรสพ
สมโภชต่างๆ มักจะกล่าวว่าในงานเฉลิมฉลองนั้นจะมีการจัดมหรสพหลายอย่าง ทั้งของไทย
และของต่างประเทศปะปนกัน จนกลายเป็ นธรรมเนียมของสมัยนั้นว่า เมื่อมีงานใหญ่ครั้งใด
จะต้องจัดให้มี มหรสพและดนตรี นานาชาติ มาประชันกันให้ยงิ่ ใหญ่ ครึ กครื้ น ดังที่
พระมหานาค วัดท่าทราย ได้บรรยายถึงงานมหรสพสมโภชพระพุทธบาทสมัย
พระเจ้าอยูห่ วั บรมโกศ ไว้ในบุณโณวาทคำฉันท์ ว่ามีมหรสพ ทั้ง ละคร หุ่น งิ้ว โมงครุ่ ม เทพ
ทอง โขน หกคเมน ไต่ลวด ลอดบ่วง พลุจีน มังกรล่อแก้ว ฯลฯ55 ซึ่งคนไทยและคนต่าง
ชาติกเ็ ข้าชมมหรสพนานาชาติเหล่านั้นด้วยความสนุกสนาน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในกรุ ง
ศรี อยุธยามีดนตรี และมหรสพต่างประเทศอยูม่ ากมาย และยังแสดงให้เห็นถึงการยอมรับและ
ความนิยม พร้อมกับการส่ งเสริ มอุปถัมภ์ของราชสำนักได้เป็ นอย่างดี ซึ่งธรรมเนียมเช่นนี้จะ
ยังคงปฏิบตั ิต่อเนื่องจนถึงสมัยต้นกรุ งรัตนโกสิ นทร์
55
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ใน พระมหานาค วัดท่าทราย, บุณโณวาทคำฉันท์, ใน
วรรณกรรมสมัยอยุธยาเล่ ม 3 (กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร, 2545), หน้า 334-337.
56
ตาชารด์, จดหมายเหตุการเดินทางสู่ ประเทศสยามของบาทหลวงตาชารด์ , แปลโดย
สันต์ ท.โกมลบุตร พิมพ์ครั้งที่ 3, (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์เกษมบรรณกิจ, 2519), หน้า 65-67.
งานเฉลิมฉลองที่มีการจัดมหรสพนานาชาติในสมัยกรุ งศรี อยุธยา คงจะดำเนินการโดยวิธีน้ี
ทุกครั้ง
กิจการดนตรี ของราชสำนักหลายประการในสมัยกรุ งศรี อยุธยา มีการใช้กำลังของคน
ต่างชาติดว้ ย เช่น ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญของพระมหากษัตริ ย ์ ต้องมีพราหมณ์ที่
มีเชื้อสายต่างชาติเป็ นผูป้ ระกอบพิธีและบรรเลงดนตรี สำหรับใช้พิธีกรรม ในกระบวนพิธี
ต่างๆเช่น กระบวนเสด็จพระราชดำเนิน กระบวนพระยุหยาตรา กระบวนแห่พระบรมศพ
ก็พบว่ามีการเกณฑ์ ชาวต่างชาติ เช่น ชวา มลายู มอญ เข้าร่ วมในกระบวน และมีหน้าที่
บรรเลงดนตรี ดว้ ย
แสดงให้เห็นว่า ในสมัยกรุ งศรี อยุธยาราชสำนักไทยมีการนำกำลังของคนต่างชาติมา
ใช้ในกิจการดนตรี เสมอ ไม่วา่ จะเป็ นงานพระราชพิธีของพระมหากษัตริ ย ์ งานพิธีการต่างๆ
หรื อ งานมหรสพรื่ นเริ ง เหตุที่ราชสำนักอยุธยานำกำลังของคนต่างชาติเหล่านี้มาใช้ อาจ
เป็ นเพราะมีกำลังคนไม่พอ หรื อราชสำนักต้องการให้มีคนต่างชาติ เข้าร่ วมในงานพิธี
เพื่อเป็ นการแสดงออกถึงอำนาจบารมีของพระมหากษัตริ ย ์ หรื ออาจเป็ นเพราะคนไทยมี
ความนิยมในการชมมหรสพ และดนตรี แปลก ๆ ใหม่ ๆ อันน่าตื่นตาตื่นใจจากต่างชาติ
ก็เป็ นได้
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้วา่ ความสัมพันธ์ทางดนตรี ระหว่างไทยและต่างชาติในสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยามีความใกล้ชิดกันมาก ทั้งในระดับราชสำนัก และประชาชนทัว่ ไป มหรสพและ
ดนตรี จากต่างประเทศนั้น มิใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับคนไทยในสมัยกรุ งศรี อยุธยา เพราะมี
โอกาสได้รับฟังรับชม อยูเ่ ป็ นปกติธรรมดา และคนไทยรู ้จกั เลือกที่จะหยิบยืมบางอย่างมาใช้
มาเป็ นเวลาช้านานแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าวัฒนธรรมเหล่านี้จึง ซึมซับเข้ากับ
วัฒนธรรมของไทย และส่ งผลให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ดงั ที่ปรากฏนี้ แนวทาง
การพัฒนาดนตรี เช่นนี้ เป็ นสิ่ งที่สืบทอดมายังยุคสมัยต่อมาด้วย
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสิ นทร์ ตอนต้ น
กรุ งศรี อยุธยาเป็ นราชธานีของไทยที่เจริ ญรุ่ งเรื องมายาวนาน จนกระทัง่ ถึง พ.ศ. 2310
กรุ งศรี อยุธยาก็พา่ ยแพ้แก่พม่า ในสงครามครั้งนี้กรุ งศรี อยุธยาถูกเผาทำลายจนยับเยินไม่อาจ
ฟื้ นคืน ทำให้ความเจริ ญรุ่ งเรื องของกรุ งศรี อยุธยาที่สืบทอดมากว่า 417 ปี สิ้ นสุ ดลง
หลังการเสี ยกรุ ง บ้านเมืองของไทยอยูใ่ นสภาพแตกสลาย ศิลปวัฒนธรรมของไทยที่สัง่ สม
มายาวนานต้องเสื่ อมถอยลงตามสภาพของบ้านเมือง บรรดาศิลปิ น และนักดนตรี จำนวน
มากล้มตายลง บางส่วนได้ถูกกวาดต้อนกลับไปพม่า บางส่ วนก็หนีไปอาศัยอยูต่ ามหัวเมือง
ต่างๆ ศิลปวัฒนธรรมของไทยจึงทรุ ดโทรมลง จนเกือบสูญสิ้ น
อย่างไรก็ดีบา้ นเมืองของไทยอยูใ่ นสภาพแตกสลายเพียงไม่นาน สมเด็จพระเจ้า-
ตากสิ นมหาราช (พ.ศ. 2310- 2325) ทรงทำการกอบกูเ้ อกราชจากพม่าได้สำเร็ จ แล้ว
สถาปนากรุ งธนบุรีข้ ึนเป็ นราชธานีแห่งใหม่ ไทยจึงเป็ นอิสระอีกครั้งและคนไทยที่
กระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆได้กลับมารวมตัวกัน เพื่อเร่ งก่อร่ างสร้างตัวให้บา้ นเมืองกลับมา
เป็ นปึ กแผ่นดังเดิม
ในสมัยของ พระเจ้าตากสิ นมหาราช พระองค์มีภาระจะต้องเร่ งสร้างบ้านสร้างเมือง
ให้เป็ นปึ กแผ่น ป้ องกันตนเองจากการรุ กรานของพม่า และ รวบรวมอาณาจักรที่
กระจัดกระจายไปให้เป็ นหนึ่งเดียวอีกครั้ง ตลอดรัชกาลพระองค์จึงต้องทำศึกสงครามเพื่อ
ขยายอาณาเขต และปราบปรามจลาจลตามเมืองต่างๆหลายครั้ง เช่น ทำศึกกับ พิมาย
พิษณุโลก ไชยา เชียงใหม่ นครศรี ธรรมราช และ ยังสามารถขยายอำนาจปกครองไปยัง ลาว
และ เขมร อีกด้วย ซึ่งเป็ นครั้งแรกที่ไทยได้อาณาจักรลาวมาอยูภ่ ายใต้การปกครอง จึงกล่าว
ได้วา่ พระองค์ประสบความสำเร็ จอย่างใหญ่หลวงในการศึกสงคราม และการปกป้ องเอกราช
ด้วยสภาพบ้านเมืองที่ยงั ไม่มงั่ คง มีการศึกสงครามหลายครั้ง ประกอบกับพระราช
ภาระที่มาก ในสมัยพระเจ้ากรุ งธนบุรีจึงไม่มีเวลาที่จะฟื้ นฟูศิลปวัฒนธรรม ให้งดงามดังเดิม
ได้แต่การดนตรี และ นาฏศิลป์ ในครั้งนั้นก็มิได้ตกต่ำลงมากนัก เนื่องจากพระองค์มิได้
ละเลยเรื่ องราวเหล่านี้ ทรงพยายามที่จะฟื้ นฟูศิลปะแขนงต่างๆขึ้นมาเป็ นลำดับ ดังจะเห็นได้
จากการที่พระองค์ทรงโปรดให้รวบรวม และ ชำระบทละครที่สูญหายไปเมื่อครั้งเสี ยกรุ งขึ้น
มาใหม่ หลายเรื่ อง เช่น คาวี ไชยทัต พิกลุ ทอง พิมพ์สวรรค์ มโนห์รา โม่งป่ า สังข์ทอง
สังข์ศิลป์ ชัย ไกรทอง ไชยเชษฐ์ ฯลฯ รวมทั้งทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่ องรามเกียรติ์
ขึ้นใหม่อีกหลายตอน เช่น ตอนหนุมานเข้าห้อง นางวานริ นวิรุฬจำบังล้ม ท้าวมาลีราชว่า
ความ พุง่ หอกกบิลพัสด์ ฯลฯ ดนตรี และ นาฏศิลป์ ที่สูญเสี ยไปในช่วงเสี ยกรุ ง ก็โปรดให้
รวบรวมขึ้นมาใหม่จากหัวเมืองต่างๆ เช่น พิมาย ตาก นครศรี ธรรมราช เนื่องจากในช่วงที่
กองทัพพม่าเข้าทำลายกรุ งศรี อยุธยาหัวเมืองเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย ศิลปะต่างๆจึงยัง
คงอยูอ่ ย่างครบถ้วน ประกอบกับ บรรดานักดนตรี และ ครู นาฏศิลป์ ที่ประสบกับภัย
สงครามได้หนีไปหลบซ่อน และ ขอพึ่งพิงบรรดาเจ้าเมืองต่างๆเป็ นจำนวนมาก ศิลป
วัฒนธรรมของอยุธยาจึงมีอยูต่ ามหัวเมืองไม่ได้สูญหายไปเสี ยทั้งหมด พระเจ้า-
กรุ งธนบุรี จึงโปรดให้รวบรวมกลับมายังเมืองหลวง 57
57
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, วิวฒ
ั นาการนาฏยศิลป์ ไทยในกรุงรัตนโกสิ นทร์ พ.ศ 2325-2477,
กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543 หน้า 36-37.
58
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี (พ.ศ. 2310- 2381) และ พระ-
ราชวิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หัว, พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุ งเทพฯ: ม.ป.ท.,
2526; พิมพ์พระราชทานในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปี
บุษบากร ณ เมรุ หน้าพลับพลาอิศริ ยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2526),
หน้า 10.
59
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ , ประชุมหมายรับสั่ ง-
ภาคที่ ๑ สมัยกรุงธนบุรี (กรุ งเทพฯ:โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2523), หน้า 37.
ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา สำหรับกระบวนวิธีในการจัดหา มหรสพและ
ดนตรี เหล่านั้น ได้ปรากฏอยูใ่ นหมายรับสัง่ สมัยพระเจ้ากรุ งธนบุรีหลายฉบับ ในหมาย
รับสัง่ เรื่ อง การพระราชทานเพลิงพระศพกรมขุนอินทรพิทกั ษ์และพระเจ้านราสุ ริยวงศ์
ผูค้ รองเมืองนครศรี ธรรมราช มีขอ้ ความตอนหนึ่ง ว่า
โรงงิ้วใหญ่ พระยาราชาเศรษฐีฯปลูกโรง ๑
โรงละครเขมรโรง ๑ เขมรปลูก ไม้จากในกรม โรง ๑
โรงรามัญใหม่รำ โรง ๑ พระยารามัญวงให้รามัญปลูก โรง ๑60
ข้อความตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า การจัดหามหรสพต่างประเทศ และการปลูกสร้าง
โรงละครเพื่อจัดแสดงมหรสพต่างประเทศนั้น ทางราชการจะโปรดฯให้ขนุ นางต่างชาติที่รับ
ราชการอยูใ่ นกรุ งธนบุรีเป็ นผูดำ ้ เนินการ โดยคาดว่าบรรดาขุนนางต่างชาติ จะจัดหาด้วยการ
เกณฑ์ นักแสดง และกำลังคน มาจากกลุ่มชาวต่างชาติที่อยูใ่ นบังคับของตน ซึ่งน่าจะจัดหา
มาได้โดยไม่ลำบากเพราะขุนนางต่างชาติมีหน้าที่ควบคุมดูแลชาวต่างชาติกลุ่มต่างๆที่อาศัย
อยูใ่ นกรุ งธนบุรีอยูแ่ ล้ว
ดนตรี และมหรสพ ต่างประเทศ ที่จดั หามา เหล่านั้น ยังได้รับพระราชทานเงินเบี้ยเลี้ยง
ในการออกแสดงด้วย ดังที่ปรากฏในหมายรับสัง่ เรื่ อง โปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าลูกยา
เธอเจ้าฟ้ ากรมขุนอินทรพิทกั ษ์ เสด็จขึ้นไปรับพระแก้วมรกต ดังนี้
. . . เงินเบี้ยเลี้ยง หมื่นราชาราช มโหรี ไทย ชาย ๒ หญิง ๔ (รวม) ๖ เงิน ๓ ตำลึง
พระยาธิเบศรบดี มโหรี แขก ๒ เงิน ๒ ตำลึง มโหรี ฝรั่ง ๓ เงิน ๓ ตำลึง (รวม)๕
เงิน ๕ ตำลึง
พระยาราชาเศรษฐี องเชิงชุน มโหรี ญวน ๑๕ เงิน ๓ ตำลึง
พระยาราชาเศรษฐีจีน มโหรี จีน ๖ เงิน ๓ ตำลึง
พระยารามัญวง มโหรี มอญ คนเพลงชาย ๒ หญิง ๔ (รวม) ๖ ปี่ พาทย์ ๘ (รวม)
๑๔ เงิน ๓ ตำลึง
หลวงพิพิธวาที มโหรี เขมร ชาย ๔ หญิง ๓ ( รวม ) ๗ เงิน ๓ ตำลึง
หมื่นเสนาะภูบาล ปี่ พาทย์ไทย ๕ เงิน ๓ ตำลึง ปี่ พาทย์รามัญ ๕ เงิน ๓ ตำลึง
ปี่ พาทย์ลาว ๑๒ คนๆ ละ ๑ ตำลึง เงิน ๑๒ ตำลึง ( รวม) ๑๘ ตำลึง
60
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 24.
( รวมเงินเบี้ยเลี้ยง ) ๑ ชัง่ ๑๘ ตำลึง...61
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก
61
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 37.
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุ งรัตน-
โกสิ นทร์ถือเป็ นช่วงเวลาแห่งการฟื้ นฟูประเทศ พระองค์จึงมีพระราชภาระมากมาย ทั้งการ
ก่อสร้างบ้านเมือง การก่อสร้างพระบรมมหาราชวัง วัดวาอาราม บ้านเรื อนราษฎร การขุด
คูคลอง รวมทั้งทำสงครามเพื่อป้ องกันประเทศ และขยายอาณาเขต เพื่อความมัน่ คงของบ้าน
เมือง แม้จะมีพระราชภาระมากแต่พระองค์กม็ ิได้ละทิ้งการฟื้ นฟูศิลปวัฒนธรรม ทรงโปรด
ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่มีฝีมือทางกวี แต่งบทละครถวาย แล้วตรวจแก้ตรา
เป็ นบทพระราชนิพนธ์ไว้หลายเรื่ อง ได้แก่ รามเกียรติ์ อุณรุ ท ดาหลัง อิเหนา นอกจากนั้น
พระองค์ยงั ทรงโปรดให้แต่ง “ตำรารำ” เพื่อให้เป็ นแบบแผนแก่นาฏศิลป์ ไทยอีกด้วย การ
ดนตรี และนาฏศิลป์ ของไทยในช่วงเวลานั้นจึงยังคงได้รับการอุปถัมภ์มิได้ปล่อยปละละเลย62
ดังปรากฏให้เห็นเสมอว่า เมื่อมีงานพระราชพิธีของหลวง หรื อ งานสมโภชสถานที่ สำคัญใน
รัชกาลครั้งใด จะทรงโปรดให้จดั มหรสพประเภทต่างๆ เป็ นที่ครึ กครื้ น
ดังตัวอย่าง ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร เรื่ องงานมหรสพสมโภชวัดพระเชตุพนวิมล-
มังคลาราม ดังนี้
. . . แลมีโขนอุโมงโรงไหญ่ หุ่นลครมอนรำ ระบำมงครุ่ ม กุลาตีไม้ ปรกไก่
งิ้วจีนยวน หกคเมน ต่ายลวด ลอดบ่วงรำแพน นอนหอกนอนดาบ โตฬ่อแก้ว
แลมวย เวลากลางคืน ประดับไปด้วยประทีปแก้วระย้า แก้วโคมพวงโจมราย
แลดอกไม้รุ่ง สว่างไปทั้งพระอาราม แล้วให้มีหนังกลางคืนละเก้าโรง มีดอกไม้เพลิง
คืนละสองร้อยพุม่ ระธาใหญ่แปดรธา พลุปทัดพะเนียง ดอกไม้มา้ กระถาง ดอกไม้
ต่างๆ แลมังกรฬ่อแก้ว ยวนรำโคม เปนโสมนัศบูชาโอฬาฎกวิเสศ . . .63
ในงานเฉลิมฉลองครั้งนี้ จะเห็นได้วา่ มีมหรสพมากมายหลายชนิด ทั้งของไทย และ
ต่างชาติ เช่น หุ่น มอญรำ กุลาตีไม้ ปรกไก่ งิ้ว ไต่ลวด สิ งโตล่อแก้ว หนัง ญวนรำโคม
ฯลฯ แสดงให้เห็นว่า ในเวลานั้น การละเล่นและนาฏศิลป์ ประเภทต่างๆยังคงเจริ ญรุ่ งเรื องดี
และในหมายรับสัง่ สมัยรัชกาลที่ 1 เรื่ อง แห่ทรงผนวช พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าโคราช
62
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 51-59.
63
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่
1 ฉบับโรงเรียนสวนกุหลาบ (กรุ งเทพฯ: ม.ป.ท, 2538 ที่ระลึกวันครบรอบวันสิ้ นพระชนม์ปี
ที่ 52 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2538), หน้า 175-
176.
พระองค์เจ้าวาสุ กรี พระเจ้าลูกเธอพระองค์เจ้าฉัตร มีขอ้ ความตอนหนึ่งว่า “ให้พนั จันทร์
เกณฑ์ปี่พาทย์ไทย ปี่ พาทย์มอญ ปี่ พาทย์จีน แห่ ”64 แสดงให้เห็นว่าการดนตรี ท้ งั ของไทย
และต่างชาติ ก็ยงั คงเจริ ญรุ่ งเรื องดีอยูเ่ ช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้วา่ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ทั้ง
ดนตรี และนาฏศิลป์ ล้วนเจริ ญรุ่ งเรื องดีมิได้ขาดตกบกพร่ อง
สำหรับกิจการดนตรี ในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น มีกรมมหรสพเป็ นผูดำ ้ เนินการ
ซึ่งกรมมหรสพจะอยูใ่ นการกำกับดูแลของกรมมหาดเล็กเพราะมหาดเล็กจะต้องหัดโขน
ละคร และปี่ พาทย์ ไว้เพื่อแสดงในพระราชพิธีต่างๆ65 ขณะเดียวกันในวังเจ้านาย และบรรดา
บ้านขุนนาง ซึ่งตั้งอยูร่ ายรอบพระบรมมหาราชวังก็มีดนตรี และนาฏศิลป์ ของตนอีกจำนวน
หนึ่ง ดังนั้นพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านาย และ บ้านขุนนางต่างๆ ก็คือแหล่งฟักตัวของ
ดนตรี และนาฏศิลป์ ในสมัยสมัยรัชกาลที่ 1 จึงเชื่อได้วา่ การสร้างสรรค์ดนตรี หรื อการ
เปลี่ยนแปลงทางดนตรี ใดๆในสมัยรัชกาลที่ 1 ย่อมเกิดขึ้นจากแหล่งฟักตัวทางดนตรี เหล่านี้
ดนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น เชื่อว่าส่ วนใหญ่ยงั คงมีรูปแบบเดิมไม่ต่างจากสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยา ดนตรี ในสมัยนี้ ยงั ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพได้กล่าวไว้ ว่าการเปลี่ยนแปลงในสมัยนี้ มีเพียงการเพิม่ กลองทัดเข้าไปในวงปี่ พาทย์ให้
เป็ นสองลูกเรี ยกว่าตัวผูต้ วั เมียให้มีเสี ยงสูงต่ำต่างกัน และในวงมโหรี มีการเพิม่ ระนาดไม้
กับ ระนาดแก้ว เท่านั้น แม้วา่ ในสมัยนี้ ดนตรี จะมีการเปลี่ยนแปลงอยูบ่ า้ ง แต่เรายังไม่
สามารถวิเคราะห์อะไรจากการเปลี่ยนแปลงนั้นได้มากนัก เนื่องจากในสมัยนี้ ยงั ไม่ปรากฏ
ชื่อของครู ดนตรี ผสู้ ร้างสรรค์ผลงาน หรื อ ครู ผพู้ ฒั นารู ปแบบของปี่ พาทย์ดงั ที่กล่าวนั้นเลย
จึงไม่อาจทราบได้วา่ ผูใ้ ดเป็ นผูค้ ิดทำ หรื อ ครู ดนตรี ในเวลานั้นทำการเปลี่ยนแปลงรู ปแบบปี่
พาทย์ดว้ ยเหตุผลใด ซึ่งหากเป็ นในสมัยต่อๆมาที่เริ่ มมีหลักฐานมากขึ้นเราจึงจะทราบได้ แต่
ก็เชื่อได้วา่ ครู ดนตรี ในสมัยนั้นคงจะพิจารณาเป็ นอย่างดีแล้ว
และทำการปรับปรุ งแบบแผนของดนตรี ให้เหมาะสมที่สุด ตามความต้องการใน การบรรเลง
และประกอบการแสดงโขนละคร ในช่วงเวลานั้น
64
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ , ประชุมหมายรับสั่ ง
ภาคที่ ๒ สมัยกรุงรัตนโกสิ นทร์ (กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2525),
หน้า 50.
65
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 264.
แม้วา่ ดนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 1 จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เนื่องจากลักษณะ
ของบ้านเมืองในช่วงเวลานี้ ที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติไม่ต่างจากสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยาดังที่ปรากฏหมู่บา้ นของชนชาติต่างๆ ตั้งอยูร่ ายล้อมพระนคร เช่น เช่นหมู่บา้ น
มอญ หมู่บา้ นลาว หมู่บา้ นญวน หมู่บา้ นแขก หมู่บา้ นเขมร หมู่บา้ นทวาย เป็ นต้น คนเหล่า
นี้
ส่ วนใหญ่อพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยา และบางส่ วนก็ถูกกวาดต้อนเข้ามาเพิ่มเติมใน
สมัยรัชกาลที่ 1 การที่คนต่างเชื้อชาติอาศัยอยูร่ ่ วมกัน ทำให้คนไทยเกิดการซึมซับวัฒนธรรม
ของต่างชาติต่างภาษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้วา่ ยังไม่ปรากฏออกมาในแบบแผนดนตรี อย่าง
ชัดเจน แต่กไ็ ด้สะท้อนออกมาในการแสดงต่างๆของไทย ที่มีข้ ึนในสมัยรัชกาลที่ 1 ตัวอย่าง
ที่ปรากฏชัดเจน ก็คือการสวดพระมาลัย
การสวดพระมาลัย เป็ นการสวดเช่นเดียวกับกับการสวดพระอภิธรรม ในสมัยรัชกาลที่
1 ประชาชนนิยมฟังสวดพระมาลัยในงานศพ เชื่อกันว่าบทสวดพระมาลัยนี้ เป็ นคัมภีร์ของ
พระเถระชาวสิ งหล ต่อมามีผนำ ู้ มาแต่งเป็ นบทสวดภาษาไทย ใช้อ่านก็ได้ ใช้สวดก็ได้ แต่ใน
สมัยนั้นมีพระสงฆ์บางรู ปคิดอุตริ ทำการสวดให้ออกไปทางตลกโปกฮาเพื่อความสนุกสนาน
แก่เจ้าภาพและแขกที่มางานศพในเวลากลางคืน ซึ่งการสวดพระมาลัยในลักษณะตลกโปกฮา
เช่นนี้ดูเหมือนจะได้รับความนิยมอย่างมากจนกลายเป็ นธรรมเนียมในงานศพไป ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกทรงเห็นว่าไม่เหมาะสม จึงต้องออกกฎหมายห้าม
ดังนี้
. . . ลางจำพวกเป็ นนักสวด สัปรุ ษทายกนิมนต์สวดพระมาไลยไม่สวดต้อง
ตามเนื้อความพระบาฬ ร้องเป็ นลำนำแขกญวนจีน มอญ ฝรั่ง แล้วฉันสาคูเปี ยก
แกงบวด เมี่ยงซ่มเมี่ยงใบกล้วยอ้อยก็มีบา้ ง.....แต่น้ ีสืบไปเมื่อน่า.....อนึ่งถ้าผูใ้ ด
ล้มตายห้าม อย่าให้เจ้าภาพนิมนต์พระสงฆ์สวดพระมาไลย ให้ นิมนต์สวดแต่
พระอภิธรรม แลสวดสำรวจไปตามปกติ อย่าให้ร้องเป็ นลำนำแขกจีนฝรั่งญวน
แลให้เจ้าภาพปรฏิบตั ิ แต่อฐั บานน้ำชายาเสี ยง อย่าให้เลี้ยงสาคูแกงบวด เมี่ยง
ซ่มเมี่ยงใบกล้วยอ้อย ของกัดของเคี้ยวเป็ นอันขาด ถ้าฆราวาสที่มาช่วยจะสวด
พระมาไลย ก็ตามเถิด แต่อย่าสวดเป็ นลำนำตลกคะนอง . . .66
66
กฎหมายสงฆ์ ฉบับที่ 10 ในประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 2 หน้า 539, อ้างถึงใน
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 63.
แม้วา่ จะมีกฎหมายควบคุมการสวดพระมาลัย แต่การสวดในลักษณะตลกโปกฮาเช่นนี้
ก็ยงั มีอยูใ่ นรัชกาลต่อมา แสดงว่ากฎหมายฉบับนี้ คงจะไม่ค่อยมีผเู้ ชื่อฟังนัก เนื้ อความใน
กฎหมายฉบับนี้ ได้แสดงให้เห็นว่า พระสงฆ์ผทำ ู้ การสวดพระมาลัยนั้น นอกจากจะแสดง
ตลกโปกฮาแล้ว ยังมีการขับลำนำเป็ นภาษาต่างๆเช่น แขก จีน ญวน ฝรั่ง เลียนแบบเพลงและ
ภาษาของชาติต่างๆที่อาศัยอยูใ่ นกรุ งเทพฯขณะนั้น ซึ่งเรี ยกกันว่าเพลงออกภาษาหรื อการ
เล่นสิ บสองภาษา และนอกจากพระสงฆ์แล้วฆราวาสก็ได้รับอนุญาตให้ทำการสวด
พระมาลัยได้ นั้นหมายความว่าการออกภาษาได้เริ่ มแพร่ หลายขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 แล้ว
การสวดพระมาลัยเป็ นทำนองตลก และมีการขับลำนำเป็ นภาษาต่าง ๆ นี้ คงจะ
เป็ นการเล่นออกภาษาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานปรากฏ แม้วา่ การเล่นออกภาษาในการ
สวดพระมาลัยนั้นยังไม่มีรูปแบบที่ชดั เจน แต่ถือได้วา่ มีความสำคัญมาก เพราะสิ่ งนี้จะเป็ น
รากฐานของการออกภาษาในวงการดนตรี และละครของไทยในยุคต่อมา67
ลักษณะการสวดพระมาลัย แสดงให้เห็นว่าคนไทยนิยมให้มีการเล่นออกภาษาโดย
เฉพาะในการแสดงประเภทตลกโปกฮา แต่เหตุใดการแสดงของไทยจึงต้องมีการเล่นออก
ภาษา และเหตุใดคนไทยจึงนิยมการแสดงในลักษณะนี้ ซึ่งเรื่ องนี้ อาจสันนิษฐานได้วา่ เป็ น
เพราะโดยปกติคนไทยได้อาศัยอยูร่ ่ วมกับชาวต่างชาติ ได้พบเห็นชาวต่างชาติอยูเ่ ป็ นปกติ
และได้ฟังสำเนียงการพูดและสำเนียงดนตรี ของชนชาติต่างๆอยูโ่ ดยตลอด จึงมีความคุน้ เคย
และเข้าใจถึงความแตกต่างของดนตรี สำเนียงภาษาต่างๆเป็ นอย่างดี จึงได้นำเอาเพลงต่าง
ประเทศมาบรรเลงบ้างเพราะเป็ นความแปลกใหม่และก็เป็ นสิ่ งที่คนไทยเข้าใจได้ดี ทำนอง
เดียวกับการแสดงตลก เมื่อนักแสดงพยายามร้องรำหรื อแสดงกริ ยาท่าทางที่ เลียน
แบบลักษณะของชาติภาษาต่างๆ คนไทยจึงเข้าใจได้วา่ นักแสดงกำลังพยายามลอกเลียน
สำเนียงของชาติภาษาใด ทำให้เกิดความขบขัน เพราะในสายตาของคนไทยนั้น
เมื่อได้เห็นชาวต่างชาติที่มีสำเนียงภาษาหรื อกริ ยาท่าทางไม่เหมือนคนไทย ก็คงจะรู ้สึก
แปลกใจระคนขบขัน ประกอบกับคนไทยมีนิสยั ชอบล้อเลียนหรื อหยอกล้อเพื่อความ
สนุกสนาน ดังนั้นเมื่อมีการร้องขับลำนำเป็ นสำเนียงภาษาต่างๆหรื อแสดงกริ ยาท่าทางเป็ น
ต่างชาติต่างภาษาพร้อมกับแสดงตลกโปกฮาไปด้วย จึงทำให้คนไทยรู ้สึกขบขันอย่างมาก
เมื่อมีความนิยมในการแสดงในลักษณะเช่นนี้ จึงมีการจัดการแสดงขึ้นบ่อยครั้งจนในที่สุดก็
กลายเป็ นธรรมเนียมของการแสดงไป
67
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 63.
กล่าวโดยสรุ ปได้วา่ ดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 ยังไม่มีการพัฒนาไปจากเดิมมากนัก
สันนิษฐานว่าอาจเป็ นเพราะสมัยนี้ เป็ นยุคสมัยแห่งการฟื้ นฟูบา้ นเมือง บ้านเมืองยังไม่มนั่ คง
ดีนกั และตลอดรัชกาลมีสงครามถึงเจ็ดครั้ง จึงไม่เวลาที่จะพัฒนาศิลปวัฒนธรรมให้งดงาม
ได้ แต่ศิลปะดนตรี ที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณก็ยงั มีอยูอ่ ย่างครบถ้วนมิได้ขาดตกบกพร่ อง แม้
ในช่วงเวลานี้ จะยังไม่มีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ แต่แนวทางในการพัฒนาดนตรี โดยการผสม
ผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับดนตรี ของไทยได้เกิดขึ้นแล้ว ดังที่สะท้อนออกมาให้เห็นใน
การร้องขับลำนำเป็ นภาษาต่างๆ หรื อ ที่เรี ยกว่า ออกภาษา ในการสวดพระมาลัย
ซึ่งความนิยมในการแสดงและเพลงสำเนียงภาษาต่างๆที่ปรากฏขึ้นมานี้ เป็ นรากฐานอัน
สำคัญต่อแนวทางในการพัฒนาดนตรี ไทยในยุคต่อมา
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ านภาลัย
71
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนริ นทรเทวี (พ.ศ. 2310-2381) และ พระราช
วิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั , เรื่ องเดิม, หน้า 45-46.
72
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 86-90.
มีความประณี ตงดงามที่สุด เหนือกว่าการแสดงละครในทุกยุคสมัย จนทำให้แบบแผนการ
ละครในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้กลายเป็ นแบบแผนของการละครในยุคต่อมา แม้กระทัง่ ใน
ปัจจุบนั
เมื่อการละครเฟื่ องฟูกย็ อ่ มมีการพัฒนาดนตรี ไปพร้อมกัน เพราะการแสดงละครต้อง
ใช้ปี่พาทย์บรรเลงดนตรี ประกอบ ปี่ พาทย์ที่ใช้สำหรับประกอบละครในสมัยนี้ โดยรวมแล้ว
มีลกั ษณะไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ยังคงใช้ปี่พาทย์อย่างหนัก (หรื อเรี ยกว่าปี่ พาทย์เครื่ อง
ห้า) เช่นเดียวกับที่ใช้ในการเล่นโขน ประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลอง ฉิ่ง
ส่ วนการเปลี่ยนแปลงทางดนตรี ในด้านอื่นๆที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ คาดว่ามีการปรับ
ขนาดปี่ สำหรับปี่ พาทย์ละครใน โดยปรับให้มีขนาดใหญ่ข้ ึน และมีเสี ยงต่ำกว่าเดิมสี่ เสี ยง
เรี ยกว่า ปี่ ใน ส่ วนปี่ เดิมเรี ยกว่า ปี่ นอก นอกจากนี้ ยงั มีการนำกลองแขก เข้ามาใช้ใน
วงปี่ พาทย์อีกหนึ่งคู่ สำหรับตีประกอบละครรำเพลงแขก เช่น รำกริ ช เพลงเบ้าหลุด
สระบุหรง เป็ นต้น73 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ กค็ ือ การนำวง
ปี่ พาทย์มาประกอบการขับเสภา จากเดิมที่การขับเสภามีเพียงกรับคู่เท่านั้น เชื่อว่าการนำ
ปี่ พาทย์เข้ามาประกอบก็เพื่อ ให้ผรู้ ้องขับเสภาได้มีโอกาสหยุดพักบ้างจะได้ไม่เหน็ดเหนื่อย
เกินไปและมีการนำ เปิ งมางสองหน้า มาใช้ตีแทนกลองทัดและตะโพนเนื่องจากเครื่ อง
ดนตรี ท้ งั สองชิ้นนั้นมีเสี ยงดังเกินไปไม่เหมาะกับการขับเสภา ซึ่งทั้งหมดนี้ กค็ ือการ
เปลี่ยนแปลงของดนตรี ไทย ที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2
อย่างไรก็ดี แม้วา่ ดนตรี และ ละคร ในสมัยรัชกาลที่ 2 จะเฟื่ องฟูมาก แต่กจ็ ะเห็นได้
ว่าดนตรี ในสมัยนี้ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่ วนใหญ่แล้วยังคงมีลกั ษณะเช่นเดิมตาม
ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุ งศรี อยุธยา และรัชกาลที่ 1 แล้วทำการปรับปรุ งให้สมบูรณ์ยิง่ ขึ้น
ส่ วนการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติเพื่อให้เกิดสิ่ งใหม่น้ นั แทบไม่ปรากฏให้เห็น
เป็ นรู ปธรรมเลยในรัชกาลนี้ ลักษณะการพัฒนาของดนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 2 คือการพัฒนา
แบบแผนดนตรี ที่มีอยูเ่ ดิมให้ ประณี ตงดงาม สมบูรณ์ ที่สุด และเป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นแบบ
อย่าง กล่าวคือในสมัยรัชกาลที่ 2 นั้นได้ทำการพัฒนาดนตรี แบบดั้งเดิมให้กลายเป็ น ดนตรี
แบบจารี ต ที่มีความเคร่ งครัดในแบบแผนอย่างมาก จนอาจกล่าวได้วา่ ดนตรี ในสมัยรัชกาลที่
2 เป็ นยุคของดนตรี แบบจารี ต
73
อารดา สุ มิตร, “ละครในของหลวงในสมัยรัชกาลที่ 2,”(วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตร์
มหาบัณฑิตแผนกวิชาภาษาไทย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2516), หน้า 70-72.
การศึกษาที่ผา่ นมานั้นแสดงให้เห็นว่า การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติเข้ากับ
ดนตรี ไทยนั้น เป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นโดยตลอด และมีพฒั นาการอย่างต่อเนื่องเป็ นลำดับ ในสมัย
โบราณและสุ โขทัยนั้น เรายังไม่อาจศึกษาสิ่ งใดได้มากนัก เนื่องจากมีหลักฐานอยูน่ อ้ ย แต่
เราก็ทราบได้อย่างแน่ชดั ว่า การผสมผสานวัฒนธรรมโดยการเลือกสรรบางอย่างที่เหมาะสม
มาใช้น้ นั ได้เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อถึงสมัยกรุ งศรี อยุธยาพบว่ามีการผสมผสานมากขึ้นเนื่องจาก
สภาพบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปจนกระทัง่ ถึงสมัยรัตนโกสิ นทร์ ดนตรี ได้เฟื่ องฟูมากขึ้นแต่
มิได้พฒั นาในทางที่แปลกใหม่มากนัก ยังคงลักษณะของสมัยกรุ งศรี อยุธยาเอาไว้เป็ นส่ วน
ใหญ่
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้วา่ การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี และการพัฒนาของดนตรี
ในสมัยหลังกรุ งศรี อยุธยานั้น มีการพัฒนาการอย่างค่อนข้างเชื่องช้า จนเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่
3 พัฒนาการของดนตรี ไทยนั้นจะมีลกั ษณะที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะกล่าวถึงในบทต่อไป
บทที่ 5
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทยตั้งแต่ สมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้ าอยู่หัวถึงสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้ าอยู่หัว
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า ดนตรี ไทยนั้นมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นโดยตลอด
ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้นช่วงรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 2 เป็ นช่วงเวลาที่ดนตรี ไทยเริ่ ม
เฟื่ องฟูข้ ึน แต่แบบแผนของดนตรี ในสมัยนี้ ไม่ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ยังคง
ยึดถือแบบแผนดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาเสี ยเป็ นส่ วนใหญ่ จนเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ดนตรี
ไทยจึงเริ่ มมีลกั ษณะของการพัฒนาที่แตกต่างไปจากเดิม คือดนตรี ไทยมีการพัฒนา
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการรับวัฒนธรรมดนตรี จากต่างชาติเข้ามาผสมผสานกับ
ดนตรี ไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชดั ซึ่งลักษณะเช่นนี้เริ่ มปรากฏตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3
จนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 การพัฒนาของดนตรี ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ได้ส่งผลให้ดนตรี ไทย
เปลี่ยนรู ปโฉมไปจากเดิมอย่างสิ้ นเชิง จนอาจกล่าวได้วา่ ช่วงเวลานี้ เป็ น ยุคทองแห่งการ
ดนตรี ไทย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
75
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 114.
ชาวตะวันตก ก็มีเข้ามามากขึ้น ประธานาธิบดี แอนดรู ว์ แจ๊คสัน แห่งสหรัฐอเมริ กา
ได้ส่ง นาย เอดมันต์ โรเบิร์ต เข้ามาขอทำสัญญาทางการค้ากับไทย ใน พ.ศ. 2375 ชาวตะวัน
ตกที่เข้ามาในประเทศไทยในสมัยนี้ ส่วนใหญ่ เป็ นหมอสอนศาสนาและพ่อค้า บุคคลสำคัญ
ที่เรารู ้จกั กันดี ได้แก่ หมอสมิธ หมอบรัดเลย์ หมอเฮาส์ และ หมอบัมทูน ชาวตะวันตก
เหล่านี้นำวิทยาการสมัยใหม่จากโลกตะวันตกเข้ามายังประเทศไทยหลายประการ ทั้ง การ
แพทย์ การพิมพ์ การศึกษา ซึ่งส่ งผลต่อการพัฒนาประเทศเป็ นอย่างยิง่
ลาว เป็ นประชากรอีกกลุ่มหนึ่งที่อพยพเข้ามาในกรุ งเทพและหัวเมืองต่างๆมากขึ้น ซึ่ง
เป็ นผลต่อเนื่องมาจากการที่เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ก่อการกบฏ พงศาวดารไทยกล่าวถึง
สาเหตุในการก่อกบฏของเจ้าอนุวงศ์วา่ เป็ นเพราะในคราวที่เจ้าอนุวงศ์เข้ามาถวายบังคม
พระบรมศพรัชกาลที่ 2 เจ้าอนุวงศ์ได้ถือโอกาสกราบบังคมทูลขอละครผูห้ ญิง แต่พระบาท
สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ไม่โปรดละครจึงไม่ทรงอนุญาต เจ้าอนุวงศ์คิดน้อยใจที่ไม่ได้
ละครผูห้ ญิงไปประดับเกียรติยศสมความปรารถนา76
เจ้าอนุวงศ์จึงกลับไปคิดพิจารณาว่า กรุ งเทพฯ เวลานี้ มีแต่เจ้านายเด็กๆ ไม่มีความเข้มแข็ง
หากยกทัพไปตีเอากรุ งคงทำได้โดยง่าย ไม่จำเป็ นที่จะต้องยอมเป็ นเมืองขึ้นต่อไป จึงก่อการ
กบฏ77 แต่แท้จริ งแล้วเหตุผลที่เจ้าอนุวงศ์คิดก่อการกบฏคงมิได้มีเพียงแค่นอ้ ยใจเรื่ องละคร
แต่น่าจะมีเหตุผลอื่นอีกหลายประการ ประการแรกเชื่อว่าเจ้าอนุวงศ์มีความคิดจะแยกตัวเป็ น
อิสระจากไทยมาตั้งแต่แรก เมื่ออำนาจของเวียงจันทน์เริ่ มเข้มแข็งขึ้นเจ้าอนุวงศ์จึงค่อยๆตี
ตนออกห่างจากไทย และเจ้าอนุวงศ์กห็ นั ไปมีความสัมพันธ์กบั เวียดนาม ถึงขนาดส่ งเครื่ อง
บรรณาการไปให้กษัตริ ยญ์ วนเป็ นประจำ และไทยกับลาวก็มีเรื่ องบาดหมางกันในคราวที่
เจ้าอนุวงศ์ทูลขอแบ่งชาวเวียงจันทร์ที่สระบุรี ที่ไทยกวาดต้อนเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุ งธนบุรีให้
กลับเวียงจันทน์ แต่พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าไม่ทรงอนุญาต สันนิษฐานว่าเจ้าอนุวงศ์คิด
แผนก่อกบฏอยูก่ ่อนแล้ว จึงคิดจะนำชาวลาวกลับเวียงจันทน์เพื่อตัดกำลังไทย และมีข่าวลือ
ว่าช่วงนั้นไทยมีปัญหากับทูตอังกฤษถึงขนาดอังกฤษจะนำกำลังเข้าโจมตีกรุ งเทพฯ
76
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่
๓ เล่ ม ๑ (กรุ งเทพ: คุรุสภา, 2504), หน้า 26.
77
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 39.
เจ้าอนุวงศ์จึงเห็นว่านี่เป็ นโอกาสอันดีที่จะก่อกบฏ78 เจ้าอนุวงศ์ได้ ยกกองทัพข้ามแม่น้ำโขง
มาตีเมืองนครราชสี มา พร้อมทั้งกวาดต้อนครัวลาวกลับและทำลายเมืองนครราชสี มาเสี ยยับ
เยิน จึงเกิดวีรกรรมของท้าวสุ รนารี ที่ใช้สติปัญญาช่วยเหลือชาวนครราชสี มาที่ถูกกวาดต้อน
ในครั้งนั้น เมื่อ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ทราบเรื่ องจึงโปรดเกล้าให้
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็ นแม่ทพั ไปปราบปรามกบฏเจ้าอนุวงศ์ ในที่สุดก็ได้รับ
ชัยชนะและนำตัวเจ้าอนุวงศ์กลับมายังกรุ งเทพฯ พร้อมกับครัวลาวประมาณ 50,000 คน
โดยให้อาศัยอยูแ่ ถบจังหวัด ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครไชยศรี พนัสนิคม อีกส่ วนหนึ่ง
อพยพมายังกรุ งเทพ ส่ วนเจ้าอุปราชและครอบครัวลาวที่ไม่เป็ นกบฏ ให้อยูท่ ี่บางยีข่ นั อีก
พวกหนึ่งให้อยูท่ ี่ตำบลมิ่งเมืองและโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุ งปัจจุบนั 79
นอกจากชาวลาวแล้วยังมีคนไทยจากภาคใต้ คือชาวเมืองพัทลุงที่อพยพหนีภยั แล้งมา
กับกองทัพไทยที่ยกไปปราบกบฏเมืองไทรบุรี เจ้าพระยาพระคลัง ผูเ้ ป็ นแม่ทพั ได้นำ
คนเหล่านี้เข้ามาในกรุ งเทพเป็ นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดให้
ตั้งบ้านเรื อนอยูท่ ี่ตำบลสนามควาย คือบริ เวณหลานหลวงและตลาดนางเลิ้งในปัจจุบนั และ
ยังมีแขกไทรบุรีและปัตตานี ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาด้วย 80
สภาพบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากพอสมควรเศรษฐกิจ
รุ่ งเรื องขึ้น มีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ประชากรมีความหลากหลายทางด้านเชื้ อชาติ
มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ลว้ นเป็ นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริ มให้เกิดการผสมผสาน
วัฒนธรรมทั้งสิ้ น ดังนั้นจึงเห็นได้วา่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 สังคมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมใหม่ๆ
จากต่างประเทศเข้ามามากมาย และมีการผสมผสานทางวัฒนธรรมในหลายๆด้าน ตัวอย่างที่
เห็นได้ชดั ประการหนึ่งก็คือ สถาปัตยกรรมในสมัยนี้ เช่น วัด ที่มีการผสมผสานระหว่าง
ศิลปะไทยจีนและตะวันตก จนเป็ นเอกลักษณ์ของศิลปะในสมัยรัชกาลที่ 3
นี่กค็ ือลักษณะทัว่ ไปของบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 และ ด้วยสภาพบ้านเมืองที่
เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้ศิลปวัฒนธรรมต่างๆในสมัยนี้มีการพัฒนา
เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
78
วิไลเลขา บุรณศิริ สิ ริรัตน์ เรื องวงษ์วาร และ ศิวพร สุ นทรวิภาต, ประวัติศาสตร์ -
ไทย 2, พิมพ์ครั้งที่ 14 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2536), หน้า 174-175.
79
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 116.
80
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 113-115.
ศิลปวัฒนธรรมของไทยในสมัยนี้ โดยเฉพาะนาฏศิลป์ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงมีอุปนิสยั แตกต่างจากพระราชบิดาอย่าง
สิ้ นเชิง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการละครและดนตรี เป็ นอย่างยิง่
และให้การอุปถัมภ์ศิลปะต่างๆเป็ นอย่างดี แต่ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั กลับไม่
ทรงนิยมสิ่ งเหล่านั้น พระองค์ไม่โปรดดูละครและการฟ้ อนรำไม่ชอบฟังดนตรี ไม่ชอบเสด็จ
ประพาสสวนขวาอันเป็ นสิ่ งภาคภูมิใจของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 81 และ
ได้ยบุ ละครในของหลวงที่มีในสมัยรัชกาลที่ 2 เสี ย ทั้งยังไม่โปรดให้ผใู้ ด ตั้งคณะโขนละคร
อีกด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ตรัสเล่าว่า ท่านแช่งชักคนที่ฝ่าฝื นพระราช
นิยมอย่างรุ นแรง จึงทำให้เจ้านายและข้าราชการจำต้องทำตัวเป็ นคนสมถะตามท่านไปด้วย82
ด้วยพระอุปนิสยั เช่นนี้ของพระองค์ จึงชวนให้สงสัยว่าในคราวที่เจ้าอนุวงศ์กราบบังคมทูล
ขอละครผูห้ ญิงแล้วท่านมิได้ประทานให้น้ นั อาจเป็ นเพราะว่าท่านไม่มีละครจะ พระราช
ทานให้กไ็ ด้ อย่างไรก็ตามแม้วา่ พระองค์จะไม่โปรดการดนตรี และละคร แต่พระองค์กม็ ิได้
ทรงห้ามบรรดาเจ้านายจัดละครภายในวังของตน
การเลิกละครของหลวงมิได้ทำให้การละครของไทยเสื่ อมลงแต่อย่างใด แต่กลับส่ งผล
ให้การละครแพร่ หลายยิง่ ขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะในอดีตนั้นละครผูห้ ญิง โดยเฉพาะละครตาม
แบบแผนในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็ นของสำหรับพระมหากษัตริ ยเ์ ท่านั้น แต่เมื่อพระมหา
กษัตริ ยไ์ ด้ยกเลิกละครของหลวงแล้ว ผูอ้ ื่นจึงคิดมีละครตามแบบของหลวงได้ ทำให้
ตัวละคร นางรำ และ นักประพันธ์บทละครของหลวงที่เคยรับราชการอยูใ่ นราชสำนักได้
กระจัดกระจายไปอยูต่ าม วังเจ้านาย และบ้านขุนนาง ที่มีความมัง่ คัง่ ซึ่งเจ้านายเหล่านี้จะ
ชุบเลี้ยงบรรดาศิลปิ นละครเอาไว้ เพื่อเป็ นเครื่ องประดับเกียรติยศ เช่นกรมพระราชวังบวร
มหาศักดิพลเสพ ที่หดั ละครผูห้ ญิงวังหน้าขึ้นทั้งชุด และยังมี เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิ งห์
สิ งหเสนี) กับ เจ้าพระยานครศรี ธรรมราช (น้อย ณ นคร) ที่หดั ละครผูห้ ญิงขึ้นสองโรง โดย
รวมแล้วในรัชกาลนี้ มีละครของบรรดาเจ้านายและขุนนางถึงสิ บสองโรง83 แสดงให้เห็นว่า
81
ชัย เรื องศิลป์ , ประวัติศาสตร์ ไทยสมัย พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๔๕๓ ด้ านสั งคม, พิมพ์ครั้ง-
ที่ 2 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์เรื องศิลป์ , 2519), หน้า 165.
82
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 175.
83
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 121.
ละครของหลวงที่ได้รับการประดิษฐ์ข้ึนอย่างงดงามในสมัยรัชกาลที่ 2 มิได้สูญหายไป แต่
กลับไปเฟื่ องฟูอยูใ่ นสถานที่แห่งอื่นภายนอกวังหลวง
การที่พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงปล่อยให้เจ้านายและขุนนางมีละคร
ตามแบบหลวงได้ เนื่องจากพระองค์ทรงตระหนักดีวา่ แม้พระองค์เองจะไม่โปรดดนตรี และ
ละคร แต่จะปล่อยให้สูญหายไปเสี ยก็ไม่ได้ เพราะดนตรี และละครเป็ นสิ่ งจำเป็ นสำหรับราช
สำนัก ในงานมหรสพของหลวงก็ยงั คงต้องมีแสดงละครตามประเพณี และในช่วงแรกที่
พระองค์ทรงติเตียนไม่ให้มีการเล่นแต่กย็ งั มีผลู้ กั ลอบเล่นกันอยูเ่ สมอ ผูห้ ดั ละครมักอ้างว่า
แบบแผนการละครที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้สร้างสรรค์ไว้น้ ัน
84
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ละครฟ้ อนรำ ประชุมเรื่องละครฟ้ อนรำกับ
ระบำรำเต้ น ตำราฟ้ อนรำ ตำนานเรื่องละครอิเหนา ตำนานละครดึกดำบรรพ์ (กรุ งเทพฯ:
สำนักพิมพ์มติชน, 2546), หน้า 348-349.
แต่มีลูกระนาดใหญ่และบางกว่า เพื่อให้เสี ยงทุม้ ต่ำ โดยจะนำระนาดทุม้ มาใช้บรรเลงควบคู่
กับระนาดเอกเพื่อให้เกิดสำเนียงแปลกใหม่ นอกจากระนาดทุม้ แล้วในสมัยนี้ ยังมีการ
ประดิษฐ์ฆอ้ งวงเล็ก ขึ้นเพื่อให้คู่กบั ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็กนั้นมีลกั ษณะคล้ายกับฆ้องวง
ใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่า ครู ดนตรี ในยุคนั้นได้นำเครื่ องดนตรี ที่ประดิษฐ์ข้ ึนใหม่ มาผสม
เพิ่มเติมในวงปี่ พาทย์ พร้อมกับมีการนำปี่ นอกที่ใช้เล่นหนังใหญ่มาใช้บรรเลงมาคู่กบั ปี่ ใน
เครื่ องดนตรี ในวงจึงเป็ นคู่ท้งั หมด เกิดเป็ นวงปี่ พาทย์ชนิดใหม่เรี ยกว่า ปี่ พาทย์เครื่ องคู85่
85
สงบศึก ธรรมวิหาร, เรื่ องเดิม, หน้า 22.
86
สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 251.
ขุนนาง ซึ่งทำให้ศิลปะต่างๆแพร่ หลายมากขึ้น และขนบธรรมเนียมอันเคร่ งครัดของศิลปะ
แบบหลวงได้ผอ่ นคลายลง ต่างจากเดิมที่ศิลปะเป็ นเพียงเครื่ องตอบสนองรสนิยมของคน
เพียงบางกลุ่มศิลปิ นในวังหลวงจึงต้องยึดถือแบบแผนเดิมที่มีมาโดยตลอด โดยเฉพาะ
แบบแผนในสมัยรัชกาลที่ 2 ที่มีความประณี ตงดงาม จนไม่มีใครกล้าเปลี่ยนแปลงหรื อทำ
เท่าเทียม เมื่อจารี ตอันเข้มงวดได้ผอ่ นคลายลง และ ศิลปิ นได้รับการอุปถัมภ์เป็ นอย่างดีจาก
บรรดาเจ้านาย ทำให้ศิลปิ นสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างเสรี หรื อสร้างผลงานเพื่อตอบ
สนองรสนิยมของคนอีกกลุ่มหนึ่งได้
ดนตรี ไทยจึงเกิดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้วา่ การที่พระบาท
สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ไม่ทรงโปรดการดนตรี และละครพร้อมกับยุบละครในของ
หลวง แต่อนุญาตให้บรรดาเจ้านายและขุนนางมีนาฏศิลป์ ของหลวงได้ กลับเป็ นผลดีต่อ
วงการดนตรี และนาฏศิลป์ ของไทยอย่างไม่คาดคิด
การพัฒนาต่างๆของดนตรี น้ นั ต้องยกความดีความชอบให้กบั การสร้างสรรค์ของ
ศิลปิ น ในอดีต ศิลปิ นไทยมักไม่ค่อยปรากฏชื่อเสี ยง แต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ปรากฏชื่อของ
ครู ดนตรี ไทยท่านหนึ่ง ซึ่งมีส่วนสำคัญในความเปลี่ยนแปลงของดนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 3
เป็ นอย่างยิง่ และยังมีอิทธิพลต่อศิลปิ นในยุคต่อมาด้วย ก็คือ พระประดิษฐ์ไพเราะ87
(มี ดุริยางกูร) หรื อ ครู มีแขก
ครู มีแขก เป็ นศิลปิ นที่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก และสร้างงานดนตรี เพื่อตอบ
สนองรสนิยมของราชสำนักโดยเน้นดนตรี เพื่อการฟังเป็ นครั้งแรก ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่
ดนตรี ในราชสำนักจะต้องบรรเลงตามแบบแผนที่เคร่ งครัด มีหน้าที่เพียงใช้ประกอบ
พิธีกรรมทางศาสนา หรื อตอบสนองรสนิยมของคนชั้นสูงเท่านั้น ดนตรี จึงได้พฒั นาบทบาท
และความสำคัญขึ้นมา กลายเป็ นศิลปะอย่างหนึ่งที่ได้รับการยกย่องทั้งในสังคมชั้นสูงและ
สังคมชาวบ้าน ครู มีแขก เป็ นผูว้ างรากฐานให้แก่การพัฒนาดนตรี ไทยในสมัยรัตนโกสิ นทร์
ตอนต้น ศิลปิ นในรุ่ นหลังได้ถือแนวทางในการสร้างสรรค์ดนตรี ของ ครู มีแขก เป็ นแบบ
87
ครู มีแขกได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็ นหลวงประดิษฐ์ไพเราะเมื่อวันที่
21 พฤศจิกายน 2396 และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ข้ ึนเป็ น พระประดิษฐ์ไพเราะ เมื่อวันที่
21 ธันวาคม 2396 จากพระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้าเจ้าอยูห่ วั ในสมัยรัชกาลที่ 4
อย่าง และให้ความเคารพท่านอย่างสูงในฐานะครู ผใู้ หญ่ จนปรากฏชื่อของท่านในบทเสภา
ไหว้ครู 88
88
อานันท์ นาคคง และอัษฎาวุธ สาคริ ก, หลวงประดิษฐ์ ไพเราะมหาดุริยกวีล่ มุ แม่ น้ำ
เจ้ าพระยาแห่ งอุษาคเนย์ , พิมพ์ครั้งที่ 3 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2547), หน้า 22.
89
สมเด็จกรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาร์ นสมเด็จ เล่ ม 2 (กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของ
คุรุสภา, 2504), หน้า 12.
90
สารานุกรมศัพท์ ดนตรีไทย ภาคประวัตินักดนตรีและนักร้ องฉบับราชบัณฑิตย-
สถาน (กรุ งเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2542), หน้า 99-100.
สำหรับการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในรัชกาลนี้ มีเพิ่มมากขึ้นกว่าสมัยก่อนหน้า
อย่างเห็นได้ชดั ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดลักษณะเช่นนี้กค็ ือ ความรุ่ งเรื องของดนตรี และ
ความหลากหลายทางวัฒนธรรมดนตรี ในสังคมดนตรี ไทยที่เพิ ่มมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3
อันเป็ นผลมาจากการที่มีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยูร่ ่ วมกันมากขึ้น ดังที่กล่าวไปแล้วว่าใน
สมัยนี้ไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้น ในกรุ งเทพฯมีชาวต่างชาติ
เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากขึ้น ชาวต่างชาติเหล่านี้ได้นำวัฒนธรรมใหม่ๆหลายประการเข้า
มาเผยแพร่ ในสังคมไทย และที่สำคัญคือคนเหล่านี้ได้นำเอาวัฒนธรรมดนตรี ของชนชาติตน
เข้ามาด้วย ซึ่งวัฒนธรรมดนตรี จากต่างชาติที่หลัง่ ไหลเข้ามาเพิ่มเติมในสมัยนี้คาดว่ามีดงั นี้
ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาในคราวปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ ได้นำการละเล่นประเภท
หนึ่งเข้ามาในกรุ งเทพด้วยก็คือ หมอลำ หมอแคน หรื อที่คนกรุ งเทพในสมัยนั้นเรี ยกว่า แอ่ว
ลาว ซึ่งดูเหมือนคนไทยจะนิยมการละเล่นชนิดนี้ มาก เพราะในเวลาต่อมา แอ่วลาว ได้แพร่
หลายอย่างรวดเร็ วและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่ อยๆยิง่ กว่าการแสดงอื่นๆ การเล่นแอ่วลาว
นี้จะเป็ นการละเล่นที่ได้รับความนิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 4 แต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 นี้กค็ าดว่า
ได้รับความนิยมมากแล้ว ดังที่ปรากฏในหมายรับสัง่ สมัยรัชกาลที่ 3 เรื่ อง กำหนด
พระราชทานเพลิงพระศพพระองค์เจ้าอรุ ณ ว่า มีการจัดหมอลำเป็ นเครื่ องเล่น พร้อมกับ โขน
หุ่น งิ้ว วันละโรง91 ซึ่งเพลงลาวเหล่านี้บางเพลงก็จะเป็ นต้นแบบของเพลงละครในยุคหลัง92
หมอสอนศาสนาชาวอเมริ กนั ที่เข้ามาในรัชกาลนี้ น่าจะเป็ นผูนำ
้ เอากลองอเมริ กนั เข้า
มาเผยแพร่ ซึ่งต่อมาคนไทยจะนำมาใช้ในวงมโหรี ปี่ พาทย์ ในการออกภาษาฝรั่ง และนำมา
ใช้ในการแสดงลิเกด้วย93
คนไทยจากภาคใต้ที่เข้ามาในรัชกาลนี้ มีบางส่ วนเป็ นนักแสดงโนรา จึงทำให้ใน
สมัยนี้มีโนราเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน เมื่อสมัยกรุ งธนบุรีชาวกรุ งเทพฯ มีความเชื่อว่าพวกโนรามี
วิทยาคมจึงไม่มีละครอื่นกล้าเล่นประชัน และยังเชื่อว่าโนรามีความศักดิ์สิทธิ์จึงนิยมว่าจ้าง
91
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ , ประชุมหมายรับสั่ ง
ภาค ๔ ตอนที่ ๒ สมัยกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
จ.ศ. ๑๒ o ๓-๑๒ o ๕ (กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2537), หน้า 14.
92
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์,เรื่ องเดิม, หน้า 116.
93
สงบศึก ธรรมวิหาร, เรื่ องเดิม,หน้า 22.
เล่นแก้บนจนเป็ นธรรมเนียม ส่ วนพวกแขกปัตตานี ไทรบุรี ได้นำเอาสวดแขกเข้ามาใน
กรุ งเทพฯ94
94
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 115.
95
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 114.
มาปะทะสังสรรค์กนั และเป็ นสถานที่แสดงฝี มือของศิลปิ น การที่มหรสพต่างชนิดกันได้มี
โอกาสปะทะสังสรรค์กนั เช่นนี้
96
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 124.
97
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 117.
วิธีแสดงสวดคฤหัสถ์ เริ่ มด้วยสวดพระอภิธรรม แต่ไม่มีถอ้ ยคำมีแต่ทำนอง เป็ นการ
ล้อเลียนการสวดให้เป็ นตลก แล้วค่อยเปลี่ยนจากสวดเป็ นร้องเพลง ตัวตุ๊ยกับตัวภาษาก็ข้ ึนรำ
แสดงท่าทางมีตบตีกนั ด้วยตาลปัตรบ้างเล็กน้อย แล้วแม่คู่ร้องเป็ นทำนองอย่างกราวนอก
ตัวภาษาตีกลองเข้าจังหวะเพลง ตัวตุ๊ยเข้าแทรกมีตลกเล็กน้อย แล้วให้ตวั ตุ๊ยกับตัวภาษา
ออกร่ ายรำประกอบ ต่อจากนั้นจึงแยกไปแสดงชุดอื่นๆ การแสดงชุดต่างๆของสวดคฤหัสถ์
มีมากมาย เช่นชุดภาษาญวน มอญ แขก ลาว พม่า เขมร ฝรั่ง ซึ่งไม่กำหนดว่าจะต้องเรี ยง
อย่างไรขึ้นอยูก่ บั ความพอใจ จะแสดงชุดไหนก่อนก็ได้ แต่ละชุดก็จะมีวิธีการแสดงที่ตลก
ขบขัน ปกติเล่นกันตามบ้านหรื อตามวัด บางครั้งเล่นกันตั้งแต่หวั ค่ำจนถึงรุ่ งสาง 98
ในการแสดงสวดคฤหัสถ์ สิ่ งที่โดดเด่นที่สุดก็คือการแสดงล้อเลียนเป็ นภาษาต่าง ๆ
ตัวภาษาจึงเป็ นตัวแสดงสำคัญ ที่สร้างความสนุกสนานขบขันให้กบั ผูช้ มมากที่สุด
สง่า กาญจนาคพันธ์ ได้เล่าถึงลักษณะการเล่นสวดคฤหัสถ์จากความทรงจำว่า ก่อนที่ตวั
ภาษาจะแสดง แม่คู่ร้องว่า “เสี ยงโห่สนัน่ หวัน่ ไหว จะเป็ นผูใ้ ดยกทัพเข้ามา จะเป็ นจีนจาม
สยามพม่า หรื อเป็ นลาวข่าประการใด หรื อจะเป็ นพวกฟอไฟฟุตฟิ ต จงออกไปดูอย่าให้ผดิ
เป็ นการเร็ วช้า”99 แล้วตัวภาษาก็ลุกขึ้นร้องเล่นตลกเป็ นภาษาต่างๆ ทั้ง ลาว มอญ จีน ญวน
ฝรั่ง เช่นเป็ นลาว ร้องเพลงลาว ทำท่าเป็ นลาว มีเล่นแอ่วลาวทำท่าเหมือนเป่ าแคน ตัวภาษา
ไม่วา่ จะแสดงเป็ นภาษาอะไร ทั้ง จีน ญวน มอญ ลาว แขก ฝรั่ง ฯลฯ ต้องออกเสี ยงพูดให้
เหมือนภาษานั้นๆ แม้จะพูดภาษาไทย คนไทยก็ยงั รู ้ได้วา่ ล้อเลียนภาษาอะไร แต่คนเจ้าของ
ภาษานั้นอาจฟังไม่ออกว่าพูดอะไร100 การที่คนไทยเข้าใจกิริยาท่าทางและสำเนียงภาษาของ
ชนชาติต่างๆได้เป็ นอย่างดี อาจเป็ นที่มาของสำนวนที่วา่ สำเนียงส่ อภาษา
98
มนตรี ตราโมท, การละเล่ นของไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน,
2540), หน้า 114-116.
99
สง่า กาญจนาคพันธ์ (ขุนวิจิตรมาตรา), 80 ปี ในชีวติ ข้ าพเจ้ า, (กรุ งเทพฯ: ม.ป.ท.,
2523; พิมพ์เป็ นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธ์)
9 ตุลาคม 2523), หน้า 56.
100
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 59.
ดังนั้นการแสดงภาษาต่างๆของคนไทยจึงเป็ นการเลียนแบบให้คล้ายคนต่างชาติ หรื อ
สำเนียงต่างชาติตามสายตาของคนไทยเท่านั้น ซึ่งนี่กค็ ือการแสดงที่ต่อไปจะเรี ยกกันว่า
ออกภาษา
การแสดงลักษณะนี้ ตอ้ งมีดนตรี ประกอบเป็ นภาษาต่างๆ เพลงภาษาจึงมีมากขึ้น ใน
การแสดงสวดคฤหัสถ์ คาดว่ามีการนำเครื่ องดนตรี ต่างประเทศมาใช้บรรเลงประกอบเพื่อให้
ได้สำเนียงคล้ายคลึงกับเพลงของสำเนียงนั้นด้วย ซึ่งเรี ยกว่าเครื่ องออกภาษา จึงเป็ นการส่ ง
เสริ มให้คนไทยเริ่ มนำเครื่ องดนตรี ต่างประเทศที่แปลกใหม่มาใช้มากขึ้น สันนิษฐานว่า
ศิลปิ นไทยคงจะจดจำท่าทางและสำเนียงของชาติภาษาต่าง ๆ มาจากชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่
ในกรุ งเทพฯ มหรสพหน้าโรงบ่อนน่าจะมีอิทธิพลต่อการแสดงประเภทนี้ ดว้ ย ดังนั้นจึงอาจ
กล่าวได้วา่ การที่ไทยมี การแสดงอย่างสวดคฤหัสถ์ และเพลงออกภาษา เป็ นเพราะสภาพ
แวดล้อมเป็ นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริ มให้เกิดลักษณะเช่นนั้น
เราไม่ทราบว่าศิลปิ นในยุคนั้นสร้างสรรค์เพลงภาษาต่าง ๆ ขึ้นด้วยวิธีใดมีตำนานหนึ่ง
ได้เล่าถึงวิธีในการแต่งเพลงของ ครู มีแขก ศิลปิ นคนสำคัญของไทยในยุคต้นรัตนโกสิ นทร์
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการแต่งเพลงภาษา เพราะ ครู มีแขก ก็แต่งเพลงสำเนียงภาษาต่าง ๆ ไว้
มากเช่นกัน เล่ากันว่า วันหนึ่งขณะที่ครู มีแขกกำลังกลับบ้านหลังจากเสร็ จงานสอนดนตรี ใน
วัง บังเอิญได้ยนิ เสี ยงมโหรี จีนที่กำลังบรรเลงอยู่ จึงให้นายสิ น (ครู สิน ศิลปบรรเลง) กับ
นายรอด ลูกศิษย์ ซึ่งติดตามมาในครั้งนั้นจดจำไว้ เมื่อกลับถึงบ้านท่านก็ได้ นำเอาสำเนียง
เพลงจีนที่ได้รับฟังมานั้น มาผสมผสาน กับความทรงจำของ นายสิ น และ นายรอด แล้วเรี ยบ
เรี ยงใหม่ให้เป็ นแบบไทย เกิดเป็ น เพลงไทยสำเนียงจีนเข้าชุดกันสี่ เพลง คือ จีนแส อาเฮีย
ชมสวนสวรรค์ และ แป๊ ะ ซึ่งเป็ นเพลงไทยอมตะจนถึงทุกวันนี้ 101
แม้วา่ เพลงเหล่านี้จะแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และเหตุการณ์น้ ี กค็ าดว่าเกิดขึ้นในสมัย
รัชกาลที่ 4 แต่กเ็ ชื่อว่าวิธีการในการแต่งเพลงก็คงไม่ต่างกัน กล่าวคือ ครู มีแขก ได้ใช้วิธีการ
จดจำสำเนียงเพลงต่างประเทศที่พบเห็นอยูร่ อบตัว มาเป็ นแรงบันดาลใจแล้วสร้างสรรค์ข้ึน
ใหม่ ซึ่งเป็ นวิธีการสร้างสรรค์เพลงอย่างหนึ่งของครู มีแขก และเมื่อศึกษาผลงานเพลงของ
ครู มีแขกแล้วก็จะพบว่า ครู มีแขก ได้แต่งเพลงสำเนียงภาษาอื่นๆนอกจากเพลงจีนเอาไว้ดว้ ย
เช่น แขก เขมร ซึ่งเชื่อได้วา่ ครู มีแขกได้ใช้วิธีการเดียวกันในการแต่งเพลงเหล่านั้น และการ
ที่ครู มีแขกเป็ นครู ผใู้ หญ่ที่มีอิทธิพลต่อศิลปิ นในยุคหลัง จึงเชื่อได้วา่ ศิลปิ นคนอื่นๆในยุค
101
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 7-8.
สมัยเดียวกัน หรื อในยุคต่อมาก็คงใช้วิธีการเดียวกันในการสร้างสรรค์ดนตรี คือจดจำ
สำเนียงเพลงต่างๆที่อยูร่ อบตัวมาใช้ อาจจดจำมาโดยตรง หรื อสร้างสรรค์ข้ ึนใหม่ ก็ได้ ซึ่ง
นี้กค็ ือวิธีการในการสร้างสรรค์เพลงภาษา หรื อการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในช่วงแรก
การที่ศิลปิ นไทยมีวิธีในการสร้างสร้างสรรค์เพลงเช่นนี้ เป็ นสิ่ งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าบ้าน
เมืองของไทยในเวลานั้นเต็มไปด้วยวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติ เพราะมีสำเนียงเพลงของ
ชนชาติต่างๆอยูร่ อบๆตัวสามารถจดจำนำมาใช้ได้โดยง่าย
ดังนั้นสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเป็ นสมัยที่ดนตรี ไทยเริ่ มมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อพระบาท
สมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงอนุญาตให้เจ้านายและขุนนางมีนาฏศิลป์ แบบหลวงได้
ศิลปะชั้นสูงของไทยที่เคยจำกัดอยูเ่ ฉพาะราชสำนักจึงได้แพร่ หลายออกจากวังหลวง และ
แบบแผนอันเคร่ งครัดของนาฏศิลป์ แบบหลวงก็ได้เริ่ มผ่อนคลายลง ศิลปิ นเริ่ มคิดสร้างสรรค์
สิ่ งใหม่เพื่อตอบสนองรสนิยมของผูอ้ ุปถัมภ์ คือกลุ่มเจ้านายและขุนนาง รวมทั้งคิด
สร้างสรรค์ดนตรี ตามจินตนาการของตนเอง ดนตรี ที่แพร่ หลายออกมาพร้อมกับนาฏศิลป์
ของหลวงได้เริ่ มมีการพัฒนาในลักษณะที่แตกต่างออกไปจากแบบแผนเดิม โดยมี ครู มีแขก
เป็ นศิลปิ นคนสำคัญที่คิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ดนตรี ในแนวทางใหม่ๆ และเป็ นศิลปิ นผูม้ ีอิทธิพล
อย่างสูงต่อการเปลี่ยนแปลงของดนตรี ในยุคนี้ และด้วยสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป
จากการขยายตัวทางการค้าและการติดต่อสัมพันธ์กบั ต่างประเทศ จึงส่ งผลให้มีชาวต่างชาติ
เข้ามาอาศัยอยูใ่ นกรุ งเทพฯมากขึ้น สังคมไทยมีความหลากหลายทางด้านเชื้ อชาติและ
วัฒนธรรมเพิม่ มากขึ้น และวัฒนธรรมดนตรี ของชาติต่างๆมีโอกาสได้ปะทะสังสรรค์กนั เพิม่
มากขึ้นอีกด้วย เพราะสภาพบ้านเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 ส่ งเสริ มให้เกิดลักษณะเช่นนั้น ไม่
ว่าจะเป็ น การจัดแสดงมหรสพหน้าโรงบ่อน การจัดมหรสพนานาชาติในงานพิธีต่าง ๆ
หรื อแม้แต่ การบรรเลงดนตรี ของชาวต่างชาติในกรุ งเทพฯ ที่ทุกเชื้อชาติมีอิสรเสรี ที่จะ
บรรเลงได้ตามใจปรารถนา ความหลากหลายเช่นนี้ทำให้ศิลปิ นไทยจดจำเอาสำเนียงดนตรี
ของชนชาติต่างๆ เข้ามาใช้เป็ นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ดนตรี ดังที่ปรากฏว่าครู มี
แขก ได้จดจำเอาเสี ยงดนตรี ที่ชาวจีนบรรเลงอยูร่ ิ มทาง มาสร้างสรรค์เป็ นบทเพลงไทย
สำเนียงจีน และเชื่อว่าศิลปิ นคนอื่น ๆ ก็คงจะปฏิบตั ิในแนวทางเดียวกัน การผสมผสาน
วัฒนธรรมดนตรี ในสมัยนี้ จึงเพิ่มมากขึ้น สิ่ งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดก็คือ การที่มี
เพลงเนียงภาษาต่างๆเพิ่มขึ้นมากมาย และมีการละเล่นล้อเลียนชาติภาษาต่าง ๆ หรื อที่เรี ยก
ว่าออกภาษา ในการแสดงสวดคฤหัสถ์
ดังนั้นสมัยรัชกาลที่ 3 ก็คือยุคสมัยที่ดนตรี ไทยเริ่ มเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉม แม้วา่
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ในสมัยนี้ จะยังไม่ปรากฏออกมาในด้านอื่นอย่างชัดเจนนัก
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น จะเป็ นรากฐานอันสำคัญให้กบั การพัฒนาของดนตรี ไทยใน
ยุคต่อมา
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
103
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 154.
ลงยาอย่างหนึ่ง พานทองหี บทองเป็ นเครื่ องยศอย่างหนึ่ง เมื่อบททำขวัญยกแต่
แตรสังข์อย่างหนึ่ง แล้วอย่าให้ชุดบุตรชายหญิงที่เขาไม่สมควรเอามาเล่นละคร ให้
เขาได้ความเดือดร้อนอย่างหนึ่ง ขอห้ามไว้แต่การเหล่านี้ ให้ท่านทั้งปวงเล่นไป
เหมือนอย่างแต่ก่อนเถิด . . . 104
ประกาศฉบับนี้ แสดงให้เห็นถึงพระทัยอันกว้างขวางของ พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ที่ไม่คิดหวงแหนศิลปะประเภทนี้ เอาไว้แต่เฉพาะในวังหลวง จึง
ยกเลิก
ธรรมเนียมเก่า ที่หา้ มไม่ให้ผใู้ ดมีละครผูห้ ญิงลงเสี ย และยังสะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสยั ส่ วน
พระองค์ ที่คาดว่าคงจะโปรดการละครไม่นอ้ ย เพราะพระองค์กล่าวว่า ละครเป็ นสิ่ งที่แสดง
ถึงเกียรติยศของแผ่นดิน การมีละครหลายคณะจึงเป็ นสิ่ งดีบา้ นเมืองจะได้ ครึ กครื้ น และยัง
กล่าวอีกว่า หากหลวงมีงานสำคัญก็จะขอให้ละครเข้ามาเล่นถวายให้ทอดพระเนตรบ้าง จะ
ได้พระราชทานเงินรางวัลให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พระองค์คงจะโปรดทอดพระเนตรละคร
นอกจากประกาศอนุญาตแล้ว พระองค์ยงั ประกาศข้อห้ามบางอย่างในการแสดงละคร
เพื่อมิให้การแสดงละครนั้นปฏิบตั ิจนเกินเลย ที่ปรากฏในประกาศฉบับนี้ ก็คือ ห้ามรัดเกล้า
ยอด ห้ามเครื่ องแต่งตัวลงยา ห้ามมีพานทองหี บทองเป็ นเครื่ องยศ ห้ามการใช้แตรสังข์ ซึ่ง
แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่ พระทัยและทรงละเอียดถี่ถว้ นในกิจการละครของบ้านเมือง
และ นอกจากนั้นยังมีการห้ามเรื่ อง การทำหัวช้างสำหรับเล่นละครเป็ นช้างเผือก ดังที่ปรากฏ
ใน ประกาศห้ามไม่ให้ทำช้างเล่นละครเป็ นช้างเผือก ใน พ.ศ. 2397 ดังนี้
. . . พระยาบำเรอภักดิ์ รับพระบรมราชโองการใส่ เกล้าฯ ทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ
สัง่ ว่า ตั้งแต่ ณ วันเดือนอ้าย แรม ๑ o ค่ำนี้สืบไป ห้ามมิให้พระองค์เจ้ามีกรม ยังไม่ได้
ตั้งกรม แลข้าทูลละอองธุลีพระบาทผูใ้ หญ่ผนู้ อ้ ย แลราษฎรที่บรรดาเล่นโขนเล่นละคร
หากินอยู่ ทั้งปวงให้รู้ทวั่ กันว่า ห้ามมิให้เขียนเป็ นหัวช้างสี เผือก สี ประหลาด ให้ใช้หวั
ช้างเผือก สี ประหลาดเลยเป็ นอันขาด ถ้ามิฟัง ขืนเล่น ผูร้ ับสัง่ จับได้ จะปรับไหมมีโทษ
ให้จงหนัก อย่าให้ขาดได้ตามรับสัง่ . . .105
104
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, บรรณาธิการ, ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4, พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุ งเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2548), หน้า 77-78.
105
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 63.
การที่มีประกาศเช่นนี้ออกมา คงเป็ นเพราะว่าในรัชกาลนี้ มีชา้ งเผือกเข้ามาในรัชกาล
แล้วสองเชือก พวกละครจึงนิยมทำหัวช้างเผือกมาใช้ในการแสดงละคร แต่ชา้ งเผือกเป็ นสิ่ ง
คู่บารมีของพระมหากษัตริ ย ์ การนำมาเล่นละครจึงไม่สมควร พระองค์จึงประกาศห้ามเสี ย
ประกาศเหล่า นี้แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงใส่
พระทัยในศิลปะการละครของไทย เป็ นอย่างดี จึงได้ประกาศข้ออนุญาต พร้อมกับกำหนด
ข้อห้ามในการแสดงละครไว้อย่างชัดแจ้ง ซึ่งส่ งผลให้การแสดงละครของไทยในเวลาต่อมา
มีระเบียบแบบแผนในการปฏิบตั ิที่แน่นอน
การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงอนุญาตให้แสดงละครผูห้ ญิงกันได้
โดยเสรี ได้ส่งผลต่อวงการนาฏศิลป์ ไทยในเวลาต่อมาอย่างใหญ่หลวง จนอาจกล่าวได้วา่
เป็ นการปฏิวตั ิวงการนาฏศิลป์ ไทยเลยก็วา่ ได้ เพราะหลังจากที่ประกาศฉบับนี้ ออกมา
ทิศทางของ นาฏศิลป์ และมหรสพ เพื่อความบันเทิงประเภทต่างๆของไทย ก็เปลี่ยนแปลง
ไปจากเดิมอย่างสิ้ นเชิง นั้นก็คือมหรสพเพื่อความบันเทิงของไทยได้เฟื่ องฟูข้ึนอย่างไม่เคย
ปรากฏมาก่อน
ผลสะท้อนที่เห็นได้ชดั เจนประการแรกคือความนิยมในละครผูห้ ญิง แต่เดิมนั้น
ภายนอกวังหลวงไม่สามารถมีละครผูห้ ญิงได้ ชาวบ้านธรรมดาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ชม
ละครผูห้ ญิงนัก จะได้ชมบ้างก็นานๆครั้ง เฉพาะในงานพิธีสำคัญที่มีละครของหลวง หรื อ
ละครของเจ้านายและขุนนางมาออกแสดง แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
อนุญาตให้มีละครผูห้ ญิงได้ ละครหลายคณะจึงเปลี่ยนไปแสดงละครผูห้ ญิง และความนิยม
ในละครผูห้ ญิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก จนทำให้ละครผูช้ ายซบเซาลงไปเลยทีเดียว สมเด็จกรม-
พระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ละครผูห้ ญิงได้รับความนิยมว่า เป็ น
เพราะเด็กผูห้ ญิงฝึ กหัดละครได้ง่ายกว่าเด็กผูช้ าย และการหัดละครผูห้ ญิงก็เสี ยค่าใช้จ่ายน้อย
กว่าเพราะผูห้ ญิงสามารถตัดเย็บเครื่ องแต่งกายได้เอง และคณะละครยังสามารถฝึ กหัดลูก
หลานผูห้ ญิงให้มาแสดงละครหารายได้อีกด้วย ผูท้ ี่มาจ้างก็มกั นิยมหาละครผูห้ ญิงไปเล่น
เพราะคนชอบดูละครผูห้ ญิง ละครผูห้ ญิงจึงมีมากขึ้น ส่ วนผูช้ ายที่เคยแสดงอยูก่ เ็ ปลี่ยนไป
เล่นผสมโรงกับผูห้ ญิงตามความนิยม106 การจัดละครผูห้ ญิงอำนวยประโยชน์ให้แก่คณะ
ละครหลายประการ และคนก็นิยมชมละครผูห้ ญิงด้วย ละครผูห้ ญิงจึงเฟื่ องฟูมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เหตุผลที่แท้จริ งที่ทำให้ละครผูห้ ญิงได้รับความนิยมขึ้นมา น่าจะเป็ นเพราะละคร
ที่มีผหู้ ญิงแสดง งดงาม น่าชม กว่าละครที่แสดงโดยผูช้ ายล้วน คนจึงนิยมละครผูห้ ญิง
มากกว่า
สำหรับบรรดาเจ้านาย และผูม้ ีบรรดาศักดิ์ น้ นั เมื่อได้รับอนุญาตให้มีละครผูห้ ญิงได้
ก็นิยมมีละครผูห้ ญิงกันมาก ทั้งที่มีไว้เพื่อประดับเกียรติยศ และเพื่อหาผลประโยชน์ เพราะ
ในวังมีบริ วารเป็ นผูห้ ญิงมาก จะหาเด็กผูห้ ญิงมาฝึ กหัดละครทำได้ง่าย เมื่อหัดขึ้นแล้วก็เลี้ยง
ดูง่ายและได้รับใช้ใกล้ชิด จึงเป็ นธรรมดาที่จะนิยมหัดละครผูห้ ญิงมากกว่าละครผูช้ าย ใน
สมัยรัชกาลที่ 4 มีละครผูห้ ญิงเพิ่มขึ้นมากมายหลายโรง ทั้งละครของเจ้านายและ
ขุนนาง และละครของพวกตัวละครที่ฝึกหัดลูกหลานให้แสดงละคร แต่ละครที่เกิดขึ้นใน
สมัยนี้เป็ นละครที่ฝึกหัดขึ้นเพื่อออกแสดงหารายได้เสี ยเป็ นส่ วนใหญ่ มิได้หดั ขึ้นเพือ่
ประดับเกียรติยศเหมือนแต่ก่อน107
เมื่อละครผูห้ ญิงได้รับความนิยมจากผูค้ นมากขึ้น งานต่างๆจึงนิยมจ้างละครไปแสดง
เพื่อความครึ กครื้ น โดยแหล่งรายได้ที่สำคัญของคณะละครและมหรสพต่างๆก็คือโรงบ่อน
เพราะในสมัยนี้โรงบ่อนยังคงเฟื่ องฟู การแสดงมหรสพหน้าโรงบ่อน ที่เรี ยกว่าวิกโรงบ่อน
ยังคงมีอยูน่ ายบ่อนเบี้ยที่ตอ้ งการให้มีลูกค้าไปเล่นการพนันมากๆจึงนิยมจ้างละครไปแสดง
เพื่อเรี ยกลูกค้า การแสดงละครกลายเป็ นสิ่ งที่หาผลประโยชน์ได้ คณะละครที่แสดงหาราย
ได้มีมากขึ้น แม้แต่บรรดาเจ้านายก็ยงั นำละครผูห้ ญิงของตนออกแสดงหารายได้
อย่างไรก็ดีการที่ละครเฟื่ องฟูเช่นนี้ได้ทำให้เกิดปัญหาในสังคมขึ้นเช่นกัน เพราะเมื่อมี
การแสดงละครมากขึ้นก็มีความต้องการตัวละครมากขึ้น ทำให้เจ้านายที่ต้ งั คณะละครเพื่อหา
ผลประโยชน์ ทำการฉุดหญิงชาวบ้าน รวมทั้ง เด็กหญิง เด็กชาย มาหัดโขนละคร แม้แต่
106
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ละครฟ้ อนรำ ประชุมเรื่ อง
ละครฟ้ อนรำกับระบำรำเต้น ตำราฟ้ อนรำ ตำนานเรื่ องละครอิเหนา ตำนานละครดึกดำ-
บรรพ์, หน้า 358.
107
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 358-359.
คหบดีจีนก็ปรากฏว่าจับเด็กชายมาหัดงิ้วด้วยเหมือนกัน การกระทำเช่นนี้ก่อความเดือดร้อน
ให้กบั เด็กหญิงจำนวนมากและเป็ นความคับแค้นใจแก่พอ่ แม่และญาติพี่นอ้ ง108 การฉุดคร่ า
ชาวบ้านเช่นนี้คงจะมีมาเป็ นเวลานานแล้ว แต่เมื่อละครเฟื่ องฟูข้ ึนก็ยงิ่ มีมากขึ้น พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงทรงห้ามการกระทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด ดังที่ปรากฏใน
ประกาศเรื่ องละครผูห้ ญิง
ความเฟื่ องฟูของมหรสพ ทำให้เจ้าของคณะมหรสพทุกประเภทมีรายได้มากขึ้น จาก
การรับจ้างแสดงในงานต่างๆ ทางราชการเห็นว่าการแสดงมหรสพมีรายได้มากจึงควรเสี ย
ภาษีเพื่อช่วยราชการแผ่นดินบ้าง ใน พ.ศ. 2402 จึงเกิดการเก็บภาษีมหรสพขึ้นเป็ นครั้งแรก
ภาษีมหรสพนี้ มิใช่เก็บจากละครเพียงอย่างเดียว แต่จะเก็บจากการแสดงมหรสพทุกประเภท
ทั้งมหรสพของไทยและของต่างประเทศ ทั้ง โขน ละคร มอญรำ ทวายรำ งิ้ว หุ่นจีน ฯลฯ
เพราะในเวลานั้นในกรุ งเทพและหัวเมือง มีการแสดงมหรสพหลากหลายประเภท และ
มหรสพทุกประเภทไม่วา่ จะเป็ นของชาติใดก็ลว้ นได้รับความนิยมและมีรายได้มาก
ยกเว้นก็เพียงแต่ละครหลวง และละครที่เกณฑ์มาเล่นงานหลวงเท่านั้นที่ไม่ตอ้ งเสี ยภาษี
โดยมีจีนนิ่ม หรื อขุนสัมมัชชาธิกร เป็ นเจ้าภาษีคนแรก รับผูกภาษีละครในกรุ งเทพฯ หัว
เมืองอีก 26 หัวเมือง เป็ นเงินหลวงปี ละ 4400 บาท โดยมีอตั ราดังนี้
ละครเล่ นเรื่องละครนอก
ละครกุมปนี คือเลือกคัดแต่ตวั ดีเล่นประสมโรงกัน ( เล่นวัน ๑ ) ภาษี ๔ บาท
ละครสามัญเล่นงานปลีก เล่นวันกับคืน ๑ ภาษี ๓ บาท
ละครสามัญเล่นงานปลีก เล่นวัน ๑ ภาษี ๒ บาท
ละครสามัญเล่นงานปลีก เล่นคืน ๑ ภาษี ๑ บาท
ละครเล่นงานเหมา เล่นวันกับคืน ๑ ภาษี ๑ บาท ๕ o สตางค์
ละครเล่นงานเหมา เล่นวัน ๑ ภาษี ๑ บาท
108
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 156.
ละครเล่นงานเหมา เล่นคืน ๑ ภาษี ๕ o สตางค์
109
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 359-361.
รายได้ ส่ วนความประณี ตบรรจงทางศิลปะได้ลดทอนลงไป เว้นแต่นาฏศิลป์ ของวังหลวง
และของเจ้านายบางพระองค์ ที่ยงั คงรักษาความประณี ตบรรจงไว้ เช่นเดียวกับในอดีต
เมื่อการมหรสพในบ้านเมืองรุ่ งเรื องขึ้นเช่นนี้ การดนตรี ยอ่ มรุ่ งเรื องขึ้นด้วยเช่นกัน
เพราะดนตรี กเ็ ป็ นศิลปะแขนงหนึ่งและเป็ นสิ่ งที่อยูค่ วบคู่กบั มหรสพทุกประเภท ดังที่กล่าว
ไปแล้วว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 ดนตรี ได้แพร่ หลายไปสู่ วงั เจ้านายและบ้านขุนนาง จนทำให้
วังเจ้านายและบ้านขุนนาง กลายเป็ นแหล่งฟูมฟักทางดนตรี จึงส่ งผลให้เกิดการพัฒนาดนตรี
รู ปแบบใหม่ๆ เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 4 วงดนตรี ของเจ้านายก็ยงั คงมีอยูเ่ ช่นเดิม และขยายตัว
เพิ่มมากขึ้น เจ้านายหลายพระองค์และบรรดาขุนนาง ยังคงนิยมมีวงดนตรี เป็ นของตัวเอง
ชัย เรื องศิลป์ กล่าวว่า การมีคณะละครและวงปี่ พาทย์ เป็ นงานอดิเรกของขุนนาง อย่าง
หนึ่ง110
นอกจากวงดนตรี ของเจ้านายแล้ว ดนตรี ของชาวบ้านก็แพร่ หลายมากเช่นกัน
การดนตรี ไทยในเวลานี้ จึงได้รุ่งเรื องขึ้นทัว่ กัน การดนตรี ของไทยในเวลานี้ รุ่งเรื องเพียงใด
นั้น สังฆราชปาเลอกัวซ์ ได้บรรยายไว้ในหนังสื อเล่าเรื่ องเมืองสยาม ตอนหนึ่งว่า
. . . คนไทยเป็ นชาวชาติที่เป็ นมิตรกับความสนุกสนานบันเทิงและการฉลอง
สมโภช ฉะนั้นจึงนิยมเล่นดนตรี กนั มากไม่เว้นตำบลใดที่จะไม่มีวงเครื่ องสาย
ของตน พวกเจ้านายและข้าราชการชั้นผูใ้ หญ่กม็ ีวงมโหรี ของตน ท่านไปทางไหน
จะได้ยนิ แต่เสี ยงกระจับปี่ สี ซอทั้งนั้น ดนตรี ของเขาไม่มีการเล่น คู่เสี ยง สามชั้น
ห้าชั้น ฯลฯ มีแต่การเล่นคู่แปด จึงเป็ นการเล่นรวมๆกันไป และสิ่ งที่น่าดูใน
วงดนตรี กค็ ือเครื่ องดนตรี ชนิดต่างๆ และวิธีการเล่นอย่างรวดเร็ ว เครื่ องดนตรี
ที่สำคัญของเขาก็มี ฆ้องวง ( Khong-vong ) ระนาด ( ranat หรื อ harmonica)
ซอกีตา้ ร์ ( guitare ) ซอไวโลลิน( violion )ขลุ่ย ปี่ ตะเข้ ( takhe ) ฉาบ แตรสังข์
แคน ( orgue lao ) และกลอง เวลาแสดงละคร ขณะที่ผแู้ สดงร้องเพลงอยูน่ ้ นั
จะมีการตีกรับให้จงั หวะไปพร้อมๆกันด้วย เสี ยงไม้กระทบกันไพเราะดี
เหมือนกัน . . .111
110
ชัย เรื องศิลป์ , เรื่ องเดิม, หน้า 94.
111
มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์, เล่ าเรื่องกรุงสยาม, แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร, พิมพ์ครั้ง-
ที่ 3 (นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรี ปัญญา, 2549), หน้า 325-326.
นอกจากสังฆราชปาเลอกัวซ์แล้วยังมี เซอร์ จอห์น เบาว์ริง ราชทูตชาวอังกฤษ ที่ได้
บรรยายถึงความรู ้สึกประทับใจ เมื่อได้พบกับบรรยากาศของดนตรี ในสยามและเล่าถึงการ
เล่นดนตรี ของชาวลาวในกรุ งเทพฯว่า
112
จอห์น เบาว์ริง, ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม เล่ ม 1, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ
กัณฐิกา ศรี อุดม, บรรณาธิการ, (กรุ งเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย , 2547), หน้า 108.
113
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 149.
114
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 151.
การบรรเลงดนตรี อยูท่ ุกแห่งหน ไม่วา่ จะเดินทางไปที่แห่งใดในบ้านเมืองก็จะต้องได้ยนิ
เสี ยงดนตรี อนั ไพเราะ จึงชวนให้จินตนาการว่ากรุ งเทพฯในเวลานั้นคงจะน่าอภิรมย์ไม่นอ้ ย
การที่ในสมัยนี้ มีวงดนตรี มากมาย และแต่ละวงก็ลว้ นมีฝีไม้ลายมือ จึงเริ่ มคิดแข่งขัน
กัน ส่ งผลให้ในรัชกาลนี้ เกิดกิจกรรมขึ้นอย่างหนึ่งก็คือ การประชันดนตรี ซึ่งจะเป็ น
กิจกรรมที่เฟื่ องฟูต่อไปในสมัยรัชกาลที่ 5- 6 การประชันดนตรี กค็ ือการแข่งขันกันว่าดนตรี
วงใดจะมีฝีมือดีกว่าเก่งกว่า จึงเหมือนเป็ นกีฬาอย่างหนึ่ง ที่เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะของดนตรี
ไทย การประชันนั้นมีท้ งั ที่นดั หมายมาประชันกัน ตั้งแต่สองวงขึ้นไป และที่ไม่ได้นดั หมาย
เพราะบางครั้งบังเอิญมีวงดนตรี สองวงไปพบกันเข้าในงานใดงานหนึ่ง แล้วนึกสนุกยกวงมา
บรรเลงประชันกันเพื่อหวังจะให้ครึ กครื้ น เมื่อมีการประชันเกิดขึ้นชาวบ้านก็จะมาชมกัน
และยิง่ ดึกก็จะยิง่ สนุกเพราะออกเพลงแปลกๆกัน การประชันกันนี้บางครั้งก็ประชันกันเพื่อ
ความสนุกสนาน แต่บางครั้งก็จริ งจังจนโกรธเคืองกันไปเลยก็มี115 ซึ่งการประชันดนตรี ที่
เป็ นการประชันครั้งใหญ่ ก็คือการประชันวงดนตรี ของเจ้านายวังต่างๆ
การประชันดนตรี น้ ี มีความสำคัญต่อการพัฒนาของดนตรี เป็ นอย่างมาก เพราะทำให้
นักดนตรี ได้ฝึกฝนฝี มือให้ชำนาญ และกระตุน้ ให้เกิดการคิดค้นเพลงใหม่ๆ เพื่อเอาชนะกัน
จนดนตรี มีการพัฒนา ดังที่สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ ได้ทรงอธิบายไว้ใน
ลายพระหัตถ์ ประทานแก่พระยาอนุมานราชธน ดังนี้
. . . เครื่ องปี่ พาทย์ของเราแต่ก่อนก็มีแต่เครื่ องห้า เขาว่ามาเพิม่ ขึ้นในรัชกาลที่ 4
เพราะเจ้านายทรงปี่ พาทย์แข่งขันกัน ต่างองค์ทรงคิดเพิม่ เครื่ องขึ้น ด้วยเอา
ของเก่าที่มีเล่นอยูแ่ ล้วทางอื่นมาเพิม่ เข้าบ้าง จัดเพิม่ ขึ้นใหม่บา้ ง เครื่ องปี่ พาทย์
ซึ่งเล่นกันอยูใ่ นเวลานี้ จึงมีเป็ น 3 อย่าง . . .116
การแข่งขันประชันกันนี้เป็ นเหตุผลประการหนึ่งที่เร่ งให้ดนตรี เกิดการพัฒนา ต่างคิด
เพิม่ เครื่ องมือต่างๆขึ้น จนทำให้ปี่พาทย์ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีลกั ษณะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
115
เรณู โกสิ นานนท์, นาฏดุริยางค์ สังคีตกับสั งคมไทย, พิมพ์ครั้งที่ 4 (กรุ งเทพฯ:
ไทยวัฒนาพานิช, 2547), หน้า 79.
116
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, งานนิพนธ์ ชุดสมบูรณ์ของพระยา
อนุมานราชธน หมวดเบ็ดเตล็ดความรู้ ทั่วไปเล่ ม 4 เรื่องบันทึกเรื่องความรู้ ต่าง ๆ เล่ ม 1
(กรุ งเทพฯ: คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารเนื่องในวาระครบ 100 ปี พระยาอนุมานราชธน,
2533), หน้า 182.
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าการดนตรี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัว ได้เจริ ญก้าวหน้าขึ้นเป็ นอย่างมาก ดนตรี ทุกประเภทล้วนเฟื่ องฟูข้ึน จะมีที่เสื่ อมความ
นิยมลงไปบ้างก็เพียงมโหรี ผหู้ ญิง เนื่องจากบรรดาเจ้านายหันไปนิยมละครผูห้ ญิงและปี่
พาทย์มากกว่า อย่างไรก็ดีในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้กน็ บั ได้วา่ เป็ นช่วงเวลาแห่งความรุ่ งเรื องของ
ดนตรี ไทยอย่างแท้จริ ง
การเปลีย่ นแปลงของดนตรีไทยในสมัยรัชกาลที่ 4
เมื่อการดนตรี รุ่งเรื องขึ้นเช่นนี้ ดนตรี ยอ่ มเกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในรัชกาลนี้ มีดนตรี รูปแบบใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย และดนตรี รูปแบบใหม่ที่
ได้รับการพัฒนาขึ้นในสมัยนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ส่ วนใหญ่เกิดขึ้นจากการผสมผสานทาง
วัฒนธรรม หรื อการได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจจากดนตรี ต่างชาติเกือบทั้งสิ้ น จนอาจ
กล่าวได้วา่ นี้คือทิศทางของการพัฒนาดนตรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งการที่ดนตรี ในสมัย
รัชกาลที่ 4 มีลกั ษณะการพัฒนาเช่นนี้ ก็เป็ นเพราะสภาพการณ์ที่แวดล้อมดนตรี ไทยอยูใ่ น
เวลานั้นส่ งเสริ มให้เกิดลักษณะเช่นนั้นนัน่ เอง ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประชากรในบ้านเมืองยัง
คงมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติเช่นเดียวกับในอดีตที่ผา่ นมา และความหลากหลายยัง
เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เนื่องจากในสมัยนี้ มีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น ซึ่งทำให้มีชาว
ต่างชาติกลุ่มใหม่และวัฒนธรรมใหม่ๆหลัง่ ไหลเข้ามาอีกมากมาย และลักษณะของสังคม
ไทยในเวลานั้นก็เอื้อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมดนตรี อย่างที่สุด เนื่องจากแต่ละ
ชนชาติมีอิสระที่จะแสดงออกถึงวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างเสรี ในกรุ งเทพฯจึงมี
บรรยากาศของดนตรี นานาชาติอยูเ่ ป็ นปกติ นอกจากนั้นยังมีโรงบ่อนซึ่งเป็ นสถานที่ชุมนุม
ของชนชาติต่างๆ และเป็ นแหล่งสังสรรค์ทางวัฒนธรรมดนตรี อย่างดีที่สุด เนื่องจากมี
มหรสพนานาชาติแสดงประชันกันอยูใ่ นที่น้ นั สภาพการณ์เช่นนี้เป็ นปัจจัยที่ส่งผล
ต่อแนวทางในการสร้างสรรค์ดนตรี ของศิลปิ นไทยในยุคนั้นเป็ นอย่างยิง่ ซึ่งดนตรี ไทยใน
สมัยรัชกาลที่ 4 มีการพัฒนาดังนี้
ประการแรกคือ การประดิษฐ์เครื่ องดนตรี ชิ้นใหม่ คือระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุม้
เหล็ก ผูท้ ี่คิดประดิษฐ์เครื่ องดนตรี ชนิดใหม่น้ ีข้ ึนก็คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้าเจ้าอยูห่ วั
พระอนุชาใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระองค์ทรงได้รับพระบวรราชาภิเษก
เป็ นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรื อ วังหน้า มีพระเกียรติยศ ดุจพระมหากษัตริ ย ์
พระองค์ที่สอง ทรงมีพระปรี ชาสามารถหลายด้าน ทั้งภาษาอังกฤษ วิทยาการสมัยใหม่
การช่าง การทหาร และยังทรงมีความสามารถในด้านดนตรี และกวีนิพจน์ดว้ ย
117
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, เรื่ องเดิม, หน้า 183.
118
มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์, เรื่ องเดิม, หน้า 230.
. . . การทำเพลงนั้นมีแต่คิดกันจะให้ดงั กึกก้องเป็ นประโคมเป็ นที่ต้งั ไม่ได้คิดไปใน
ทางที่จะฟังไพเราะดังจะเห็นได้จากการปรุ งปี่ พาทย์เครื่ องใหญ่ ซึ่งมีระนาด ๔ ราง
ฆ้องสองร้าน ปี่ สองเลา นั้นแล และถ้าถึงงานที่สำคัญก็ต้ งั ปี่ พาทย์สองวง สามวงสี่ วง
ตีพร้อมกัน นัน่ แปลว่ากระไร แปลว่าจะให้ดงั มากที่สุดเท่านั้นเอง จะฟังเป็ นเพลง
หรื อไม่น้ นั ไม่คำนึง . . .119
ปี่ พาทย์เครื่ องใหญ่ ขยายตัวแพร่ หลายในหมู่เจ้านายมาก เหตุที่แพร่ หลายนั้นคงเป็ น
เพราะพระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้าฯซึ่งเป็ นเจ้านายชั้นผูใ้ หญ่เป็ นผูร้ ิ เริ่ มขึ้น เจ้านายองค์อื่นๆ
จึงปฏิบตั ิตาม ดังที่ปรากฏในหมายรับสัง่ ครั้งโปรดฯ ให้ขอแรงมาทำสมโภชพระแก้วมรกต
เมื่อเดือน 5 แรมค่ำ 1 ปี มะโรง หรื อ พ.ศ. 2399 ว่ามีปี่พาทย์เครื่ องใหญ่ ถึงสิ บหกวง ดังนี้
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของพระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้าเจ้าอยูห่ วั วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของกรมหลวงเทเวศร์วชั ริ นทร์ วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของกรมขุนสรรพศิลป์ ปรี ชา วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของกรมหลวงวงศาธิราชสนิท วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของสมเด็จเจ้าฟ้ ามหามาลา วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของกรมหมื่นราชสี หวิกรม วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชยั ญาติ วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของพระยาเพชรพิไชย วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของพระยามนตรี สุริยวงศ์ (ชุ่ม) วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของเจ้าหมื่นสรรเพธภักดี (เพ็ง) วง ๑
ปี่ พาทย์ผชู้ าย ของพระประดิษฐ์ไพเราะ (มีแขก) วง ๑
ปี่ พาทย์ผหู้ ญิง ของกรมหมื่นวรจักรธรานุภาพ วง ๑
ปี่ พาทย์ผหู้ ญิง ของกรมหมื่นมเหศวรศิววิลาศ วง ๑
119
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, เรื่ องเดิม, หน้า 207.
ปี่ พาทย์ผหู้ ญิง ของเจ้าพระยารวิวงศ์ฯ (ขำ) วง ๑120
ปี่ พาทย์เครื่ องใหญ่ จึงเป็ นวงปี่ พาทย์ชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ และเป็ นที่แพร่ หลาย
พอสมควร ปี่ พาทย์ชนิดนี้ เป็ นปี่ พาทย์ชนิดใหม่ที่คนไทยประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเองโดยแท้
แต่อย่างไรก็ตามก็ตอ้ งยอมรับว่า ปี่ พาทย์ชนิดนี้ มีอิทธิพลฝรั่งอยูบ่ า้ ง เพราะระนาดเหล็กนั้น
ถูกประดิษฐ์ข้ ึนมาจากการได้รับแรงบันดาลใจ จากหี บเพลงของฝรั่ง
120
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 252-253.
121
เรณู โกสิ นานนท์, เรื่ องเดิม, หน้า 73.
วงปี่ พาทย์122 มีลกั ษณะคล้ายวงปี่ พาทย์ แต่นำปี่ ชวามาใช้แทนปี่ นอกปี่ ใน และใช้กลองมลายู
แทนกลองทัด โดยปกติใช้บรรเลงในงานศพ วงชนิดนี้ ประดิษฐ์ข้ ึนมาเมื่อใดไม่ปรากฏแต่
สันนิษฐานว่า คงจะมีผคู้ ิดประดิษฐ์ข้ ึนประมาณปลายรัชกาลที่ 3 หรื อ ต้นรัชกาลที่ 4 เพราะ
วงชนิดนี้ มีใช้ในงานศพกันมาก่อนหน้าที่จะมีการใช้ปี่พาทย์มอญในงานศพสมัยปลาย
รัชกาลที่ 4 เหตุที่เรี ยกปี่ พาทย์นางหงส์เพราะนิยมเล่นเพลงเรื่ องนางหงส์123 วงชนิดนี้
ประดิษฐ์ข้ ึนมาในลักษณะเดียวกันกับ วงเครื่ องสายปี่ ชวา คือคนไทยเป็ นผูส้ ร้างสรรค์ข้ึน
โดยนำเครื่ องดนตรี ต่างๆทั้งของไทยและของต่างประเทศที่มีอยูม่ าผสมผสานกัน จึงเป็ นวง
ดนตรี ของคนไทยอย่างแน่นอน แม้จะมีการใช้เครื่ องดนตรี ต่างประเทศก็ตาม
ปี่ พาทย์นางหงส์น้ ีคงมีสำเนียงไพเราะดี สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ จึง
ได้บรรยายไว้ลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ตอนหนึ่งว่า
. . . เมื่อครั้งงานศพหม่อมเฉื่ อยของหม่อมฉัน เจ้าพระยาเทเวศท่านจัดปี่ พาทย์
นางหงส์อย่างประณี ต ไปช่วยที่สุสานหลวง ณ วัดเทพศิรินทร ท่านเพิ่มกลอง
มลายูข้ ึนเป็ น ๖ ใบ ปี่ พาทย์กค็ ือวงหลวงเสนาและพระประดิษฐ์ (ตาด) ทำไพเราะ
จับใจคนฟังทั้งนั้นจนหม่อมฉันออกปากเสี ยดายว่ามีกงั วลด้วยงานศพ มิฉะนั้น
ก็จะนัง่ ฟังให้เพลิดเพลิน . . .124
122
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์ นสมเด็จเล่ ม 18, หน้า 237.
123
เพลงเรื่ องคือการนำเพลงที่มีลกั ษณะใกล้เคียงกันมาผูกต่อกันแล้วบรรเลงติดต่อกัน
เป็ นชุด เพลงเรื่ องนางหงส์คือเพลงเรื่ องชุดหนึ่งที่ใช้บรรเลงในงานศพ เหตุที่เรี ยกว่านางหงส์
ก็เพราะเรี ยกตามหน้าทับชนิดพิเศษที่ใช้คือ หน้าทับนางหงส์ สำหรับเพลงเรื่ องนางหงส์จะ
ประกอบไปด้วย เพลงนางหงส์หรื อพราหมณ์เก็บหัวแหวน สาวสอดแหวน แสนสุ ดสวาท
หรื อกระบอกทอง และ แมลงวันทอง
124
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, เรื่ องเดิม, หน้าเดิม
มาร่ วมบรรเลงในงานพิธีต่างๆของราชสำนักด้วย ดังที่ปรากฏในหมายรับสัง่ สมัยพระเจ้า
กรุ งธนบุรี ที่มีการเกณฑ์ปี่พาทย์ชาติต่างๆมาบรรเลงพร้อมกัน ซึ่งมีปี่พาทย์มอญด้วย แต่คน
ไทยเริ่ มนำปี่ พาทย์มอญมาใช้อย่างจริ งจังก็ในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยนำมาใช้เป็ นครั้งแรกใน
งานศพของสมเด็จพระเทพสิ รินทราบรมราชินี ดังที่ สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติ
วงศ์ ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า
. . . เรื่ องที่ชอบใช้ปี่พาทย์มอญในงานศพนั้น หม่อมฉันเคยได้ยนิ สมเด็จพระ
พุทธเจ้าหลวงตรัสเล่า ว่าปี่ พาทย์มอญทำในงานหลวงครั้งแรกเมื่องานศพ
สมเด็จพระเทพสิ รินทราบรมราชินีดว้ ยทูลกระหม่อมทรงพระราชดำริ วา่ สมเด็จ
พระเทพสิ รินทราฯ ทรงเป็ นเชื้ อมอญ แต่จะเป็ นทางไหนหม่อมฉันก็ไม่ทราบ
เคยได้ยนิ แต่ชื่อพระญาติคน ๑ เรี ยกว่า “ท้าวทรงกันดาล ทรงมอญ” ว่าเพราะ
เป็ นมอญ พระองค์ท่านคงจะทราบดีวา่ คงเป็ นเพราะเหตุน้ นั งานพระศพพระเจ้า
ลูกเธอในรัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้มีปี่พาทย์มอญเพิ่มขึ้น โดยเป็ นเชื้อสายของ
สมเด็จพระเทพสิ รินทราฯ...125
สมเด็จพระเทพสิ รินทราบรมราชินี เป็ นพระอัครมเหสี พระองค์ที่สองในพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั สวรรคต เมื่อ พ.ศ. 2404 ปี่ พาทย์มอญนำมาใช้เป็ นครั้งแรกใน
งานพระศพของท่าน แสดงว่าคงจะนำมาใช้เป็ นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อเจ้านายเริ่ ม
ใช้ปี่พาทย์มอญในงานศพ จึงเกิดเป็ นธรรมเนียมในสมัยต่อมาว่างานศพผูด้ ีจะต้องมี
ปี่ พาทย์มอญ ปี่ พาทย์มอญจึงแพร่ หลายในงานศพมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ใช้แต่ปี่พาทย์
นางหงส์ เนื่องจากเรามักพบเห็นปี่ พาทย์มอญในงานศพอยูบ่ ่อยครั้ง คนทัว่ ไปจึงคิดว่า
ปี่ พาทย์มอญต้องใช้ในงานศพเท่านั้น แต่แท้จริ งแล้วปี่ พาทย์มอญใช้ในงานอะไรก็ได้
ไม่จำกัด
อย่างไรก็ดีปี่พาทย์มอญที่ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 4 นี้คงเป็ นปี่ พาทย์แบบมอญแท้ๆยังไม่
ได้ดดั แปลงอะไร เพราะจริ งๆแล้วในยุคนี้ ปี่พาทย์มอญก็ยงั ไม่เป็ นที่นิยมมากนัก แต่จะมา
นิยมกันมากในยุคต่อมา เมื่อหลวงประดิษฐ์ไพเราะได้นำปี่ พาทย์มอญมาดัดแปลง ก่อนที่จะ
ทำการเผยแพร่ จนนิยมกันไปทัว่
126
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 2, หน้า 141.
127
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 159.
ชาวอเมริ กนั นำเข้ามา ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าว่า
ในสมัยนี้มีผเู้ อากลองอเมริ กนั มาประกอบในการออกภาษาฝรั่ง ในการแสดงละครพระอภัย
มณี 128 คนไทยจึงมีเครื่ องดนตรี เพิม่ ขึ้นอีกอย่างหนึ่ง
128
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 254.
129
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จ เล่ม 18, หน้า 118.
กรณีการห้ ามเล่ นแอ่ วลาวในราชอาณาจักร
131
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุญนาค), พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4, พิมพ์ครั้งที่ 2
(กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2521), หน้า 339.
132
ประชุมพงดารภาคที่ 31 จดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกนั เข้ ามาใน
ประเทศไทย (กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2508), หน้า 60-61.
133
ส. พลายน้อย, พระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้ าเจ้ าอยู่หัวกษัตริย์วงั หน้ า, พิมพ์ครั้งที่ 3
(กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน, 2543), หน้า 158.
จอห์น เบาว์ริง ได้เล่าว่า “ขุนนางผูม้ ีทรัพย์ส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมดมีภรรยาจากเมืองลาว มี
ความสะสวยกริ ยางดงาม มีมารยาทคลานโดยใช้ศอกเป็ นกริ ยาของสตรี ในหมู่ชนชั้นสูง”134
และชาวลาวยังเป็ นผูท้ ี่มีความสามารถในการบรรเลงดนตรี หรื อทำหน้าที่บรรเลงดนตรี ใน
วังอีกด้วย ดังที่จอห์น เบาว์ริง เล่าไว้อีกตอนหนึ่งว่า “การไปเยีย่ มเยียนขุนนางผูใ้ หญ่ท่าน
หนึ่ง ถูกถามบ่อยว่า ท่านจะดูการฟ้ อนไหม ท่านจะดูการขับร้องไหม ท่านจะฟังเสี ยงดนตรี
ของชาวลาวหรื อไม่”135 เอกสารของชาวต่างประเทศหลายฉบับมักจะกล่าวถึงเสี ยงดนตรี อนั
ไพเราะของชาวลาว ซึ่งก็คงเป็ นเสี ยงดนตรี จากฝี มือการบรรเลงของชาวลาวในวังเหล่านี้
กล่าวคือ ชาวลาวเป็ นชาวต่างชาติที่มีความใกล้ชิดกับคนไทย และเจ้านายนิยมเลี้ยงดูชาวลาว
เพราะมีกริ ยามารยาทงดงาม หน้าตาสวย และยังเล่นดนตรี ร้องเพลงได้ไพเราะ นี่คงเหตุที่
ทำให้การละเล่นของลาว เป็ นที่นิยมในหมู่เจ้านาย นอกจากความสนุกสนานและความ
ไพเราะ
เมื่อเจ้านายนิยมการเล่น แอ่วลาว เช่นนี้ ชาวบ้านทัว่ ไปจึงนิยม แอ่วลาว ตามไปด้วย
จนในที่สุดแอ่วลาว ก็นิยมกันไปทัว่ บ้านทัว่ เมือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
ไม่พอพระทัยในเรื่ องนี้ แต่กย็ งั มิได้ดำเนินการอันใด จนกระทัง่ พระบาทสมเด็จพระปิ่ น-
เกล้าเจ้าอยูห่ วั ประชวร ใกล้สวรรคต จึงออกประกาศ ห้ามมิให้เล่นแอ่วลาว ณ วันศุกร์ เดือน
๑๒ แรม ๑๔ ค่ำ ปี ฉลู สัปตศก หรื อ พ.ศ. 2408 ดังนี้
. . . มีพระบรมราชโองการดำรัสแก่ขา้ ราชการผูใ้ หญ่ผนู้ อ้ ย แลทวยราษฎร
ชาวสยามทุกหมู่เหล่า ในกรุ งแลหัวเมืองให้ทราบกระแสพระราชดำริ วา่ เมืองไทย
เป็ นที่ประชุมชาวต่างเพศต่างภาษาใกล้ไกลมากด้วยกันมานานแล้ว การเล่นฟ้ อน
รำขับร้องของภาษาอย่างต่างๆ เคยมีมาปะปนเป็ นที่ดูเล่นฟังเล่นต่างๆ สำราญ เป็ น
เกียรติยศบ้านเมืองก็ดีอยูแ่ ต่ถา้ ของเหล่านั้นคงอยูต่ ามเพศภาษาของคนนั้นๆ ก็
สมควรหรื อไทยจะเลียนเอามาเล่นได้บา้ งก็เป็ นดีอยูว่ า่ ไทยเลียนใครเลียนได้เหมือน
หนึ่งพระเทศนามหาชาติวา่ อย่างลาวก็ได้ ว่าอย่างมอญก็ได้ ว่าอย่างพม่าก็ได้ ว่าอย่าง
เขมรก็ได้เป็ นดี แต่จะเอามาเป็ นพื้นไม่ควร ต้องเอาอย่างไทยเป็ นพื้น อย่างอื่นๆ ว่า
เล่นได้แต่แหล่หนึ่งสองแหล่ ก็การบัดนี้ เห็นแปลกไปนัก ชาวไทยทั้งปวงละทิ้งการ
เล่นสำหรับเมืองตัว คือปี่ พาทย์ มโหรี เสภาครึ่ งท่อน ปรกไก่ สักรวา เพลงไก่ป่า
134
จอห์น เบาว์ริง, เรื่ องเดิม, หน้า 108.
135
จอห์น เบาว์ริง, เรื่ องเดิม, หน้า 108.
เกี่ยวข้าว แลละครร้องเสี ยหมด พากันเล่นแต่ลาวแคนไปทุกหนทุกแห่งทุกตำบล
ทั้งผูห้ ญิงผูช้ าย จนท่านที่มีปี่พาทย์มโหรี ไม่มีผใู้ ดหาต้องบอกขายเครื่ องปี่ พาทย์
เครื่ องมโหรี ในที่มีงานโกนจุกบวชนาค ก็หาลาวแคนเล่นเสี ยหมดทุกแห่ง ราคา
หางานหนึ่งแรงถึงสิ บตำลึง สิ บสองตำลึง การที่เป็ นอย่างนี้ ทรงพระราชดำริ เห็นว่า
ไม่สู้งามไม่สู้ควรที่การเล่นอย่างลาวจะมาเป็ นพื้นเมืองไทย ลาวแคนเป็ นข้าของ
ไทยๆไม่เคยเป็ นข้าลาว จะเอาอย่างลาวมาเป็ นพื้นเมืองไทยไม่สมควร ตั้งแต่พากัน
เล่นลาวแคนมาอย่างเดียวก็กว่าสิ บปี มาแล้วจนการตกเป็ นพื้นเมือง แลสังเกตดูการ
เล่นลาวแคนชุกชุมที่ไหน ฝนก็ตกน้อยร่ วงโรยไป ถึงปี นี้ ขา้ วในนารอดตัวก็
เพราะน้ำป่ ามาช่วย เมืองที่เล่นลาวแคนมาก เมื่อฤดูฝนๆก็นอ้ ยทำนาก็เสี ยไม่
งอกงาม ทำขึ้นมาได้บา้ งเมื่อปลาย ฝน น้ำป่ ากระโชกมาก็เสี ยหมด เพราะฉะนั้น
ทรงพระราชวิตกอยู่ โปรดให้ขออ้อนวอนแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวงที่คิดถึงพระเดช
พระคุณจริ งๆให้งดการเล่นลาวแคนเสี ย อย่าหามาดูแลฟัง แลอย่าให้เล่นเองเลย
ลองดูสกั ปี หนึ่งสองปี การเล่นต่างๆอย่างเก่าของไทยคือ ละครฟ้ อนรำปี่ พาทย์มโหรี
เสภาครึ่ งท่อน ปรกไก่ สักรวา เพลงไก่ป่า เกี่ยวข้าวแลอะไรๆที่เคยเล่นมาแต่ก่อน
เอามาเล่นกูข้ ้ ึนบ้าง อย่าให้สูญ เล่นลาวแคนขอให้งดเสี ยเลิกเสี ยสักปี หนึ่งสองปี
ลองดูฟ้าฝนจะงามไม่งามอย่างไรต่อไปข้างหน้า ประกาศอันนี้ ถา้ มิฟังยังขืนเล่น
ลาวแคนอยูจ่ ะให้เรี ยกภาษีให้แรง ใครเล่นที่ไหนจะให้เรี ยกแต่เจ้าของที่แลผูเ้ ล่น
ถ้าลักเล่นจะต้องจึงปรับให้เสี ยภาษีสองต่อสามต่อ . . . 136
เมื่อประกาศฉบับนี้ ออกมา การเล่นแอ่วลาวก็ค่อยๆซบเซาลงไป จนในที่สุดก็
สูญหายไป นี่จึงเป็ นครั้งแรกที่การละเล่นจากต่างประเทศถูกทางราชการประกาศห้าม และ
เป็ นการละเล่นชนิดเดียวเท่านั้นที่ถูกสัง่ ห้าม การออกประกาศห้ามเล่นแอ่วลาว แสดงให้
เห็นอย่างชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีพระราชประสงค์ให้คนไทย
งดเว้นการเล่น แอ่วลาว เสี ย การที่พระองค์ออกประกาศเช่นนี้กทำ ็ ให้มีขอ้ ที่น่าสงสัยว่า
เพราะเหตุใดพระองค์จึงประกาศห้ามการเล่นชนิดนี้ ทั้ง ๆ ที่ในบ้านเมืองก็มีมหรสพจาก
ต่างประเทศชนิดอื่นอยูม่ ากมาย และโดยปกติแล้วพระองค์กม็ ิได้ปิดกั้นศิลปวัฒนธรรมของ
ต่างชาติ ดังที่มีพระราชดำริ วา่ ไทยเป็ นที่ชุมนุมของชาวต่างชาติ การละเล่นของชาติต่าง ๆ
136
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, บรรณาธิการ, ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4, หน้า 437-438.
ที่เข้ามาปะปนกันเป็ นสิ่ งดีเป็ นเกียรติของบ้านเมือง เพียงแต่ขอให้มีของไทยเป็ นพื้นอยูบ่ า้ ง
เท่านั้น
การสัง่ ห้ามนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงมีพระราชาธิบายว่า
เป็ นการไม่สมควรที่คนไทยจะเล่นอย่างลาวเพราะไทยไม่เคยเป็ นข้าลาว และคนไทยหันไป
นิยมแอ่วลาวกันมาก จนทำให้ศิลปะของไทยทั้ง ปี่ พาทย์ มโหรี เสภา ปรกไก่ สักวา ละคร
ร้อง เสื่ อมความนิยมลงไป จนไม่มีใครว่าจ้างไปแสดง จนศิลปิ นต้องขายเครื่ องดนตรี เลี้ ยง
ชีพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั เกรงว่าศิลปิ นไทยจะหมดอาชีพ จึงต้องออก
ประกาศเช่นนี้ ซึ่งก็เป็ นเรื่ องดีเพราะเป็ นการช่วยอนุรักษ์ศิลปะของไทย และเป็ นการช่วย
เหลือศิลปิ นไทยด้วย
การที่การแอ่วลาวเฟื่ องฟูข้ ึนมานั้น คงจะทำให้มหรสพของไทยซบเซาลงไปบ้าง
เพราะคนบางส่ วนได้หนั ไปว่าจ้างแอ่วลาวมาแสดงแทน ปี่ พาทย์ มโหรี หรื อ ละคร แต่ถึง
แม้วา่ การมหรสพของไทยจะซบเซาลงไปก็ไม่น่าจะ ถึงขนาดทำให้ศิลปิ นไทยหมดอาชีพ
หรื อส่ งผลให้ฝนฟ้ าไม่ตก เพราะมหรสพของไทยในเวลานั้นก็ยงั คงดีอยู่ ภาษีมหรสพก็ยงั คง
เก็บได้โดยตลอด และมีการเก็บภาษี แคน ด้วย และผูท้ ี่เล่นแอ่วลาว บางคนก็เป็ นคนไทย ดัง
ที่เห็นว่าเจ้านายบางองค์กเ็ ล่นแอ่วลาวด้วยองค์เอง ดังนั้นที่วา่ ศิลปิ นไทยต้องยากลำบาก
เพราะคนหันไปนิยม แอ่วลาว จึงไม่น่าจะเป็ นจริ งเสี ยทั้งหมด และการที่แอ่วลาวได้รับความ
นิยม ยังอาจส่ งผลให้การแสดงมหรสพของไทยมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้
มหรสพของไทยเฟื่ องฟูข้ ึนอีกด้วยซ้ำ
การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดให้ออกประกาศเช่นนี้ จึง
สันนิษฐานว่า นอกจากจะเป็ นเพราะพระองค์ตอ้ งการ ช่วยศิลปิ นไทย และอนุรักษ์ศิลปะไทย
แล้ว ยังน่าจะมีเหตุผลอื่นอยูด่ ว้ ย โดยเฉพาะเหตุผลทางการเมืองและความมัน่ คง เนื่องจาก
สถานการณ์บา้ นเมืองในเวลานั้นมีภยั คุกคามจากต่างประเทศอยูร่ อบด้าน พระองค์ทรงมีนโย
บายสร้างชาติให้เข้มแข็ง การที่การละเล่นของลาวเข้ามาได้รับความนิยมในเวลานั้นจึงไม่
เหมาะสมกับสถานการณ์ พระองค์จึงทรงให้เลิกการเล่นแอ่วลาวเสี ย
โดยแท้จริ งแล้ว การเล่นเป่ าแคน เคยมีมาแล้วตั้งแต่ในสมัยกรุ งศรี อยุธยา ในเวลา
นั้น แคน เป็ นเครื่ องดนตรี ที่มีเกียรติสูง เป็ นสิ่ งที่ใช้ขบั กล่อมพระมหากษัตริ ยเ์ ลยทีเดียว ดังที่
ปรากฏใน อนิรุทธคำฉันท์ และมหาชาติคำหลวง แต่ดว้ ยเหตุผลทางเศรษฐกิจและการเมือง
ทำให้ แคนถูกเหยียดออกไป กลายเป็ นเครื่ องมือของคนอีกชนชั้นหนึ่ง หรื อเป็ นเครื่ องมือ
ของลาวเท่านั้น137 และแคนก็ได้กลายเป็ นสัญลักษณ์ของลาว และหายไปจากราชสำนักกรุ ง-
ศรี อยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 4 แคนก็กลับเข้ามาอีกครั้ง และก็ถูกเหยียดออกไปอีกครั้งเช่นกัน
ในปัจจุบนั แคน จึงมีฐานะเป็ นเพียงเครื่ องดนตรี ของชาวลาวหรื อชาวอีสานเท่านั้น
ถือเป็ นเพียงเครื่ องดนตรี พ้ืนบ้านมิได้ถือเป็ นส่ วนหนึ่งของดนตรี ไทย ทั้งที่ แคน เคยเป็ น
เครื่ องดนตรี ชิ้นหนึ่งที่คนไทยในกรุ งเทพฯและในราชสำนักนิยมชมชอบมายาวนาน เชื่อว่า
ถ้าหากในเวลานั้นไม่มีการประกาศห้ามการเล่น แอ่วลาว แคนยังน่าจะเป็ นเครื่ องดนตรี ที่คน
ไทยใช้อยู่ หรื ออาจมีวงดนตรี ที่มีแคนเป็ นส่ วนประกอบก็ได้ ลาวแคน จึงเป็ นวัฒนธรรม
ดนตรี ต่างประเทศเพียงประการเดียว ที่ถูกกีดกันให้ออกไปจากวงการดนตรี ไทย ในสมัย
รัชกาลที่ 4
137
สุ จิตต์ วงษ์เทศ, ร้องรำทำเพลง ดนตรี และนาฎศิลป์ ชาวสยาม, หน้า 149-150.
รุ่ งเรื องนี้ จะส่ งผลต่อเนื่อง ในการพัฒนาของดนตรี ไทยในยุคต่อมา
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
141
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, เรื่ องเดิม, หน้า 405-407.
142
โอเปรา หรื อ อุปรากร คือละครเวทีประเภทหนึ่งที่มีเพลงและดนตรี เป็ นหลักใน
การดำเนินเรื่ องราว โอเปราเป็ นการแสดงที่ผสมผสานศิลปะนานาชนิดเข้าด้วยกันทั้ง
วรรณกรรม ดนตรี และศิลปะการแสดง โดยมีองค์ประกอบสำคัญสามประการคือ เนื้ อเรื่ อง
ดนตรี และผูแ้ สดง เนื้ อเรื่ องมาจากตำนานเทพนิยายโบราณ นิทาน หรื อวรรณกรรมต่างๆ
แล้วนำมาแต่งเป็ นบทร้อง ดนตรี เป็ นปัจจัยสำคัญที่สุดของโอเปราใช้ประกอบบทขับร้อง
ตลอดทั้งเรื่ อง ในโอเปราดนตรี มีความสำคัญมากจนโอเปราได้รับการยกย่องให้เป็ นผลงาน
ของผูป้ ระพันธ์ดนตรี หรื อคีตกวี และ ผูแ้ สดงจะต้องเป็ นนักร้องที่มีเสี ยงไพเราะและเป็ นนัก
แสดงที่แสดงบทบาทได้อย่างยอดเยีย่ ม
เทเวศร์วงศ์ววิ ฒั น์ มีโอกาสได้ชมในคราวที่ ติดตาม สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไป
เยือนประเทศต่างๆในยุโรป เมื่อ พ.ศ. 2434143
เมื่อเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวฒั น์ คิดประดิษฐ์ละครชนิดใหม่ จึงได้ชกั ชวนผูม้ ีความรู ้
ความสามารถในทางละคร หลายท่านมาร่ วมกันทำงาน คือ
1. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ มีหน้าที่ในการปรุ ง
การเล่นและจัดบท
2. หม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา มีหน้าที่คิดการรำและหัด
143
พลูหลวง และ ส.ตุลยานนท์, สารจากนครพิงค์ ถึงบางกอก, (กรุ งเทพฯ: เกษมบรรณ
กิจ, 2515),หน้า 116.
6. ลดท่ารำลงเป็ นลักษณะรำประกอบเพราะตัวละครร้องเองแล้ว จึงไม่ทำท่าซ้ำมาก
และทำให้ตวั ละครไม่เหนื่อยจากการรำ เก็บพลังไว้ร้องให้เพราะและดังทั้งโรงละครแทน144
ดนตรี ที่ใช้ประกอบในการแสดงละครดึกดำบรรพ์น้ นั จะต้องปรับให้มีเสี ยงนุ่มนวล
เพื่อจะไม่แข่งกับเสี ยงคนร้อง ดังนั้นปี่ พาทย์ไทยที่ใช้อยูจ่ ึงไม่เหมาะเนื่องจากมีเสี ยงดังเกิน
ไป จึงต้องคิดประดิษฐ์ปี่พาทย์ชนิดใหม่ ที่สำเนียงนุ่มนวลเหมาะสมกับละครชนิดนี้ ซึ่งใน
การคิดประดิษฐ์ปี่พาทย์ชนิดใหม่น้ ี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรา-นุ
วัดติวงศ์ ทรงอธิบายถึงกระบวนวิธี ดังนี้
144
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์,เรื่ องเดิม, หน้า 219.
145
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของ พระยา
อนุมานราชธน หมวดเบ็ดเตล็ด ความรู ้ทวั่ ไปเล่ม 4 เรื่ องบันทึกเรื่ องความรู ้ต่างๆ เล่ม 1,
ด้วยเหตุน้ ี จึงเกิดปี่ พาทย์ชนิดใหม่ ที่มีเสี ยงนุ่มนวลกว่าเดิม เรี ยกว่า ปี่ พาทย์ดึกดำ-
บรรพ์ ปี่ พาทย์ชนิดนี้ เกิดขึ้นจากการนำเครื่ องดนตรี ชนิดต่างๆมาผสมผสานกันเพื่อใช้
สำหรับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ และเป็ นวงดนตรี ชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากการคิด
สร้างสรรค์ละครดึกดำบรรพ์
ปี่ พาทย์ชนิดใหม่น้ ี เป็ นผลพวงจากการคิดประดิษฐ์ละครดึกดำบรรพ์ ซึ่งได้รับแบบ
อย่างมากจากละครของฝรั่ง ถึงแม้ปี่พาทย์ชนิดนี้ จะเป็ นวงดนตรี ที่คนไทยคิดประดิษฐ์ข้ึน
เองทั้งหมด เป็ นภูมิปัญญาของศิลปิ นไทยและถือว่าเป็ นปี่ พาทย์ของไทยโดยแท้
ที่มิได้มีลกั ษณะใกล้เคียงกับวงดนตรี ของต่างประเทศเลย แต่อย่างไรก็ตามวงดนตรี ชนิดนี้ ก็
มีอิทธิพลทางแนวความคิดจากตะวันตกอยู่ เนื่องจากผูป้ ระดิษฐ์ตอ้ งการวงดนตรี ที่มีเสี ยงนุ่ม
นวลไม่แข่งกับเสี ยงคนร้องตามอย่างดนตรี ที่ใช้ในละครตะวันตก ที่เป็ นต้นแบบของละคร
ดึกดำบรรพ์
ทั้งนี้วงดนตรี ชนิดนี้ เกิดขึ้นได้กเ็ พราะคนไทยไปพบเห็น ละครของยุโรปแล้วพึงพอใจ
จึงจำมาใช้เป็ นต้นแบบ จึงนับว่าเป็ นผลพวงจากการที่คนไทยมีการติดต่อกับชาติตะวันตก
มากขึ้นได้รู้เห็นสิ่ งใหม่มากขึ้น และยังสะท้อนให้เห็นถึงความคิดของศิลปิ นในยุคนั้นที่เปิ ด
กว้างในการรับวัฒนธรรมและคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยูเ่ สมอ ปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์คือตัวอย่าง
ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ว่ามหรสพเป็ นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริ มให้เกิดดนตรี ชนิดใหม่ข้ ึน
หน้า 189.
146
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 213.
ให้เหมือนกับต่างชาติทุกประการ แต่เป็ นการจินตนาการถึงชาติน้ นั ๆผ่านสายตาคนไทย
หรื อเป็ นการจำลองบรรยากาศนานาชาติในกรุ งเทพฯ เท่านั้น
นอกจากละครพันทางของเจ้าพระยามหิ นทรศักดิ์ ธำรงแล้ว ยังมี ละครพันทางอีกคณะ
หนึ่งที่แสดงต่อมา ก็คือคณะละครนฤมิตร ซึ่งคนทัว่ ไปจะเรี ยกชื่อละครคณะนี้ ตามชื่อ
เจ้าของคณะว่า ละครหม่อมต่วน หรื อ หม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ นามสกุลเดิม มนตรี กลู
เป็ นธิดาหม่อมราชวงศ์ตาม บุตรหม่อมเจ้าแบนในกรมหลวงพิทกั ษ์มนตรี เป็ นหม่อมใน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ในคณะละครนฤมิตรนี้ หม่อมต่วน
มีหน้าที่อำนวยการและแต่งเพลง หม่อมต่วนมีความสามารถในการแต่งเพลงมากโดยเฉพาะ
เพลงเลียนสำเนียงชาติต่างๆ เช่นเพลงลาวในพระลอหลายเพลงนั้น หม่อมต่วนเป็ นผูแ้ ต่ง
ในการให้แต่งเพลงของหม่อมต่วนนั้น จะใช้วิธีจดจำจากต้นแบบจริ งๆ เช่นให้ หมอลำ หมอ
แคน มาเล่นให้ฟัง แล้วดัดแปลงเป็ นทางจะเข้ที่ถนัด หรื อนำเพลงฝรั่งมาแปลง เป็ นต้น147
ละครพันทางเป็ นการแสดงที่พยายาม นำเสนอลักษณะของชาติต่างๆออกมาโดยผ่าน
จินตนาการของคนไทย ซึ่งสะท้อนลักษณะนานาชาติที่เป็ นอยูใ่ นกรุ งเทพฯ และการแสดง
ละครพันทางนั้น ก็ส่งผลต่อการพัฒนาดนตรี เพราะจำเป็ นต้องใช้เพลงสำเนียงภาษาต่างๆ
ประกอบการแสดง จึงต้องสร้างสรรค์เพลงภาษาต่างๆอยูเ่ สมอ ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า
หม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ คิดทำเพลงภาษาต่างๆอยูต่ ลอดเวลา และมีความตั้งใจถึงขนาด
เชิญ ฝรั่ง และหมอลำ หมอแคน ตัวจริ งมาเป็ นต้นแบบ ละครพันทางจึงมีส่วนสำคัญใน
พัฒนาเพลงสำเนียงภาษาต่างประเทศ อยูไ่ ม่นอ้ ย
147
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 214.
ประสงค์ ปลูกปะรำที่เล่นกั้นฉากเป็ นหน้าโรงและในโรงเหมือนโรงละคร มีพวก
แขก (หรื อไทยแต่งตัวเป็ นแขก) ถือรำมะนานัง่ เป็ นวงอยูห่ น้าโรงแทนปี่ พาทย์
แรกเล่นพวกนักสวดสวดลำนำแขกเข้ากับรำมะนาโหมโรงสักครู่ หนึ่ง แล้วมีตวั คน
เล่นแต่เป็ นแขกฮินดูออกมาจากในโรง มาร้องลำนำเต้นเข้ากับจังหวะรำมะนาและ
เพลงสวด ประเดี๋ยวหยุดเจรจา มีคนแต่งตัวเป็ นไทยออกมาถามกิจธุระ แขกฮินดูบอก
ว่าจะมารดน้ำให้เกิดสวัสดิมงคลแล้วก็ร้องและเต้นอีกพักหนึ่ง หมดชุดก็เข้าโรง
ต่อนั้นคนเล่นแต่งตัวเป็ นชาติต่างๆ เช่น ญวน จีน ฝรั่ง เป็ นต้น พวกละสองคน
สามคน ออกมาเล่นทีละพวก พวกแต่งเป็ นชาติไหนก็ร้องรำตามเพลงชาติน้ นั เล่น
เป็ นชุดๆต่อกันไปจนหมด มิได้เล่นเป็ นเรื่ องติดต่อกัน พิเคราะห์ดูกเ็ ห็นว่าได้เอาเค้า
การสวดของแขก เช่นพรรณนามาแล้วมาปรุ งกับการเล่นลูกหมด “สิ บสองภาษา”
ในกระบวนศพของไทย เพราะเอาแขกสวดเข้าสมทบจึงเรี ยกว่า ยีเ่ ก ตามคำมลายู
เป็ นมูลที่จะเกิดมีการเล่นยีเ่ กไทยมาแต่ครั้งนั้น ...148
ดังนั้นที่มาของลิเกจึงมาจากแขก แต่ตน้ กำเนิดของลิเกนั้นยังมีผคู้ ิดไปในทางอื่น เช่น
กล่าวว่ามาจากการสวดของมุสลิม ที่เรี ยกว่า ยิเก หรื อสวดแขก หรื อสันนิษฐานว่าติดมาจาก
พวกมาเลย์ที่อพยพจากปักษ์ใต้ หรื อ อาจมาจากการเล่นเพลงพื้นบ้านประเภทต่างๆ แล้วนำ
มาประสมเข้ากับรำมะนา ก็เป็ นได้149 ที่มาของลิเกจึงไม่แน่ชดั แต่ยงั อย่างไรก็ตาม ลิเก ก็มี
อิทธิพลของมาจากการแสดงของแขกอย่างแน่นอน อาจเป็ น ชาวมุสลิม หรื อ ฮินดู แล้ว
คนไทยก็นำมาดัดแปลงให้เป็ นลิเก แบบไทยในภายหลัง
ลิเก เป็ นการแสดงในระดับชาวบ้าน ไม่จำเป็ นต้องประณี ตบรรจงเหมือนละครหลวง
ลิเก จึงได้รับความนิยมไปทัว่ ทั้งกรุ งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากถูกใจผูช้ ม เพราะดำเนินเรื่ อง
รวดเร็ วฉับไว สนุกถึงใจ ฟังง่าย เข้าใจง่าย และยังหัดง่าย ค่าจ้างถูก จึงนิยมกันไปทัว่ ต่อมา
ลิเกได้พฒั นารู ปแบบการแสดงเป็ นละครพูดปนร้อง ด้นกลอนสดปนรำ แต่งกายอย่างราช
สำนักรัชกาลที่ 5 เมื่อการแต่งกายและการแสดงประณี ตบรรจงขึ้น จึงเรี ยกว่าลิเกทรงเครื่ อง
ในการแสดงลิเก นั้นสิ่ งที่ขาดไม่ได้กค็ ือ การออกภาษาเป็ นชาติต่าง ๆ เพราะมีตน้
กำเนิดมาเช่นนั้น เริ่ มตั้งแต่ออกแขก บรรเลงรำมะนา ต่อด้วยแต่งกายและร้องเพลงเป็ นภาษา
148
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 17, หน้า 263-264.
149
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 223.
ต่างๆ การแสดงลิเกนั้นจึงมีการใช้เพลงสำเนียงภาษาต่าง ๆ เป็ นจำนวนมาก สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ ได้กล่าวถึงเรื่ องนี้ วา่
150
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 18, หน้า 22.
151
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 226.
152
มนตรี ตราโมท, เรื่ องเดิม, หน้า 27.
153
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 228.
การที่คนไทยหัดแสดงงิ้ว แสดงให้เห็นว่าคนไทยยอมรับมหรสพของต่างชาติ จึงรับ
ชมและหัดแสดงเองบ้าง แต่งิ้วที่คนหัดขึ้นก็คงจะไม่เหมือนกับงิ้วจีนทุกประการ น่าจะมี
ลักษณะเป็ นไทยอยูบ่ า้ ง และการหัดแสดงงิ้วคงจะทำให้คนไทยคุน้ เคยกับวัฒนธรรมจีน การ
แสดงแบบจีน เครื่ องดนตรี จีน และเพลงจีน ซึ่งน่าจะส่ งผลถึงเพลงไทยอยูบ่ า้ ง
การพัฒนาดนตรีเพือ่ ความเจริญทางดนตรี
นอกจากการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี เพื่อที่จะนำดนตรี เหล่านั้นมาใช้ในการแสดง
มหรสพแล้ว ในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังมีการพัฒนาดนตรี เพือ่ ความเจริ ญก้าวหน้าทางดนตรี อีก
ด้วย ความเจริ ญทางดนตรี คือ การพัฒนาดนตรี ให้มีความประณี ต งดงาม ไพเราะ แปลกใหม่
พิสดาร ดีเยีย่ มกว่าเดิม รวมทั้งการพัฒนาฝี ไม้ลายมือของนักดนตรี ให้ยอดเยีย่ มยิง่ ขึ้นด้วย
ซึ่งการพัฒนาดนตรี ในลักษณะนี้ เกิดขึ้นจากความต้องการทำดนตรี ให้ดียงิ่ ขึ้น ความต้องการ
ในการพัฒนาดนตรี เช่นนี้ มีผลต่อการรับและผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี เป็ นอย่างมาก
เพราะศิลปิ นพยายามสรรหาสิ่ งแปลกใหม่เข้ามาเป็ นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ดนตรี
ซึ่งศิลปิ นมักจะเลือกรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศเข้ามา ปัจจัยที่ส่งเสริ มให้เกิดความ
ต้องการในการพัฒนาดนตรี อย่างมากนั้น มีอยูส่ องประการคือ การประชันดนตรี และอีก
ประการหนึ่งก็คือ การสร้างสรรค์ของศิลปิ นเอง
154
เรณู โกสิ นานนท์, เรื่ องเดิม, หน้า 79.
สมเด็จวังบูรพาฯ ทรงโปรดดนตรี เป็ นอย่างมาก ทรงเสาะหานักดนตรี ฝีมือดี มาประจำ
ในวังมิได้ขาด วังบูรพา จึงเป็ นเหมือนสถาบันดนตรี แห่งหนึ่ง และ ในสมัยรัชกาลที่ 5
พระองค์ยงั ทรงเป็ นราชทูตไปอังกฤษ และได้นำปี่ พาทย์ไปบรรเลงที่กรุ งลอนดอนด้วย155
เจ้านายแต่ละองค์ต่าง แสวงหานักดนตรี ฝีมือดีมาเข้าวง ฝึ กซ้อม และสร้างสรรค์
ดนตรี แปลกใหม่ๆเพื่อจะได้มีวงดนตรี ที่ยอดเยีย่ มที่สุด แล้วนำมาประชันแข่งขันกัน ดนตรี
ในสมัยนี้จึง มีความประณี ต งดงาม ซับซ้อนที่สุด และมีการพัฒนาลูกเล่นแปลกๆใหม่ๆ
มากมาย นอกจากนั้นบรรดาเจ้านายยังให้การผูอ้ ุปถัมภ์นกั ดนตรี เป็ นอย่างดี นักดนตรี ใน
เวลานี้จึงเป็ นเหมือนศิลปิ นอาชีพ ที่มีหน้าที่สร้างสรรค์ดนตรี เพียงอย่างเดียว ดนตรี ในสมัยนี้
จึงมีความเข็มแข็งเป็ นอย่างมาก
การประชันดนตรี ครั้งสำคัญในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ยงั คงเป็ นที่กล่าวขวัญจนถึงปัจจุบนั
คือการประชันระหว่าง จางวางศร (หลวงประดิษฐ์ไพเราะ) แห่งวังบูรพาฯ กับ นายแช่ม
ระนาดเอกของ กรมพิณพาทย์หลวง แห่งวังบ้านหม้อใน พ.ศ. 2443156 ซึ่งจางวางศรเป็ น
ผูช้ นะ และ จางวางศรผูน้ ้ี ได้เติบโตเป็ นศิลปิ นคนสำคัญของไทยในเวลาต่อมา
การประชันดนตรี น้ ี นอกจากจะทำให้ดนตรี พฒั นาแล้ว ยังมีส่วนส่ งเสริ มให้เกิดการ
ผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ดว้ ย เพราะต่างคนต่างก็สรรหาสิ่ งแปลกใหม่มาประชันกัน ซึ่ง
ส่ วนหนึ่งก็คือ การคิดหาเพลงภาษาแปลกๆมาบรรเลงแข่งขันกัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ ได้ทรงอธิบายว่า ปี่ พาทย์ในสมัยนั้นนิยมไปจดจำเพลง
ภาษาต่างๆมาบรรเลงกัน ยิง่ จดจำได้มากก็ยงิ่ ยกย่องกันว่าเก่ง ดังนี้
155
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 24-33.
156
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 61.
ถ้ารู ้จกั เพลงเก่าเป็ นอย่างดี และจดจำเพลงภาษาได้มากก็ถือว่าเก่ง เหมือนเป็ นค่านิยม
อย่างนั้น ดังนั้นในการประชันกันจึงมักนิยมบรรเลงเพลงแปลกๆอวดให้คนฟัง ดังที่สมเด็จ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้วา่
. . . ผูท้ ี่มีความสามารถไปได้ยนิ เพลงแปลกๆซึ่งโดยมากเป็ นเพลงของชนต่างชาติ
จึงจำเอามาคิดประดิษฐ์ข้ ึนเป็ นเพลงใหม่ฟังเล่นแปลกๆ แล้วเอาไปทำแถมเข้าใน
เพลงตับเมื่อมีโอกาส ต่างวงเกิดประชันกันขึ้นด้วยแถมเพลงแปลกๆเช่นนั้น
ก่อนแล้วก็เลยชอบทำเพลงแปลกอวดให้คนฟังจึงมีชื่อเพลงต่างชาติมากด้วย
ประการฉะนี้ . . .158
มีตวั อย่างปรากฏในการประชันครั้งหนึ่งว่า วงดนตรี ที่ประชันกันนั้นต่างวงต่างก็ขน
เครื่ องออกภาษาไปมากมาย เพื่อที่จะเอาชนะกัน ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ ากรม
พระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ ได้บรรยายไว้ในลายพระหัตถ์ ดังนี้
. . . ปี่ พาทย์ลางวงขนเอาเครื่ องเล่นสำหรับออกภาษาไปกองเป็ นมูลกอง
เพื่อตีเมื่อเล่นออกภาษา การขนเอาเครื่ องเล่นไปเป็ นอันมากนั้น มีตวั อย่างที่
ปี่ พาทย์ในพระนครวงหนึ่ง จะไปตีประชันกับปี่ พาทย์สวน ขนเอาเครื่ องเล่น
ไปมากมาย ด้วยใจว่าจะทับปี่ พาทย์สวนให้ชนะ ในกระบวนเครื่ องเล่นนั้น
ครั้งไปออกเพลงฝรั่งก็เอากลอง “มลิกนั ” ตี ฝ่ ายปี่ พาทย์สวนก็ออกเพลงฝรั่ง
บ้างแต่เอาดุน้ แสมตีปีบน้ำมันปิ โตรเลียมเปล่า แทนกลอง “มลิกนั ” แล้วก็
หัวเราะกัน เกล้ากระหม่อมเห็นว่าแพ้ปี่พาทย์สวน . . .159
คำอธิบายนี้ แสดงให้เห็นลักษณะการประชันดนตรี ในครั้งนั้น ว่าเป็ นการประกวดประ
ขันดนตรี เพื่อแสดงฝี มือและเพื่อความสนุกสนาน แต่ละวงต่างสรรหาเพลงแปลกๆภาษา
ต่างๆมาบรรเลงกัน และเพื่อให้มีสีสนั แปลกใหม่จึงต้องขนเครื่ องออกภาษาไปคราวละมากๆ
สะท้อนให้เห็นความนิยมในเวลานั้นด้วยว่า วงดนตรี ต่างก็แข่งขันกันจดจำเพลงภาษาต่างๆ
157
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของ พระยา
อนุมานราชธน หมวดเบ็ดเตล็ด ความรู ้ทวั่ ไปเล่ม 4 เรื่ องบันทึกเรื่ องความรู ้ต่างๆ เล่ม 1,
หน้า 187.
158
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จเล่ม 22,
หน้า 227.
159
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 18, หน้า 53-54.
จนเพลงภาษาแปลกๆมีมากขึ้นจนนับไม่ถว้ น และคงจะหยิมยืมเอาเครื่ องดนตรี ต่างประเทศ
มาเป็ นเครื่ องออกภาษาเป็ นจำนวนมาก ซึ่งไม่แน่ชดั ว่ามีเครื่ องดนตรี อะไรบ้าง แต่คงจะมี
มากมาย และยังแสดงถึงไหวพริ บอันชาญฉลาดของนักดนตรี ในสมัยนั้นที่มีความคิดฉับไว
และมีนิสยั ชอบล้อเลียนถึงขั้นเอาถังน้ำมันมาตีแทนกลองอเมริ กนั เพื่อประชันตอบโต้กนั จน
ดูเหมือนว่าสิ่ งใดที่พอจะบรรเลงเป็ นเพลงได้คนไทยก็นำมาใช้ได้ท้ งั สิ้ น การประชันกัน
แบบนี้ ยิง่ เป็ นการส่ งเสริ มให้นกั ดนตรี ช่างจดจำ และคิดสรรหาสารพัดวิธีมาสร้างสรรค์
เพลงแปลกใหม่ๆกัน ซึ่งส่ งเสริ มให้เพลงภาษาเติบโตเพิ่มขึ้นอีก และการประชันอย่างนี้คงมี
อยูบ่ ่อยครั้ง ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงเรื่ อง ปี่ พาทย์ในพระนคร
ไปตีประชันแพ้ ปี่ พาทย์บา้ นสวน ว่า
. . . ที่ตรัสเล่ามาถึงเรื่ องปี่ พาทย์ในพระนคร ไปตีประชันปี่ พาทย์ชาวสวนไม่ได้น้ นั
เคยปรากฏแก่หม่อมฉันครั้ง ๑ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปประพาสจังหวัด
ราชบุรีในฤดูน ้ำ สมเด็จพระราชปิ ตุลาเป็ นแม่กองทำแพพลับพลาแรมรับเสด็จที่
ทุ่งเขางู ถึงเวลาค่ำท่านเอาปี่ พาทย์วงั บูรพาของท่านวง ๑ กับตรัสสัง่ ให้เรี ยกปี่ พาทย์
ชาวเมืองสมุทรสงครามวง ๑ ไปทำบรรเลงประชันกันที่พลับพลาปี่ พาทย์วงั บูรพาใช้
เครื่ องใหญ่ และมีเครื่ องประกอบต่างๆ ตัวพวกปี่ พาทย์ลว้ นเป็ นคนหนุ่มว่องไว แต่
ปี่ พาทย์เมืองสมุทรสงครามก็ลว้ นคนแก่อายุไม่มีที่จะต่ำกว่า ๕ o ปี สักคนเดียว แต่
เมื่อ
ทำประชันกันบรรดาคนฟังเห็นเป็ นอย่างเดียวกันหมด ว่าปี่ พาทย์วงั บูรพาสู้วงเมือง
สมุทรสงครามไม่ได้ ด้วยปี่ พาทย์วงั บูรพาดังเป็ นกราวเขน แต่ปี่พาทย์เมือง
160
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จเล่ม 18,
หน้า 62.
มอญ พม่า แขก จีน ญวน กระทัง่ ฝรั่งเป็ นต้น ซึ่งพวกปี่ พาทย์เขาเรี ยก “ภาษา” แต่
ฟังเพลงจะรู ้กห็ าไม่ เพราะเรามาดัดเป็ นไทยเสี ยหมดแล้ว ที่วา่ ดัดนั้นไม่ได้ต้งั ใจ
จะดัด หากแต่เป็ นไปเองเพราะเราไม่จำกัดลูกอะไรที่คล้ายกันก็ใช้แทนได้ท้ งั นั้น
จึงฟังเป็ นเพลงไทยไป มีตวั อย่างจะเล่าถวาย วันหนึ่งเดินไปหน้าวังกรมหมื่นปราบ
ได้ยนิ พวกมอญซึ่งเขาเฝ้ าวังเล่นเครื่ องสายกันอยูท่ ี่หน้าประตู ได้ยนิ ออกจะรู ้ตอ้ ง
หยุดฟัง ฟังอยูน่ านจึงรู ้วา่ เป็ นเพลงทแยง ๕ ท่อน ซึ่งเราไล่ฝีมือระนาดกันนัน่ เอง
แต่เพราะเขาเล่นทางมอญผิดกับเราเล่นกันเป็ นอันมากจึงฟังรู ้ได้ยาก ยังเพลงที่ร้อง
เรื่ องนางซินเดอเรลลานั้น คนปรับเพลงเขาก็ต้ งั ใจเอาเพลงฝรั่งเข้าปรับกับเรื่ องฝรั่ง
เพื่อให้เป็ นฝรั่ง แต่ฟังก็ไม่เห็นเป็ นฝรั่งเลย . . .161
การประชันดนตรี ที่เฟื่ องฟูมากในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงเป็ นปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ส่ง
เสริ มให้เกิดการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี มากขึ้น เพราะต่างก็พยายามแข่งขันจดจำของเก่า
และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้มากที่สุด
161
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 22, หน้า 211-212.
ในสมัยนี้ มีศิลปิ นหลายท่านที่ได้สร้างสรรค์ผลงานเอาไว้ แต่ศิลปิ นในยุคนี้ ที่มีความ
โดดเด่นในการนำวัฒนธรรมดนตรี ใหม่ๆจากต่างประเทศเข้ามาปรับใช้ในดนตรี ไทย คือ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ในเวลานี้ ยงั เป็ นจางวางศร)
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ หรื อจางวางศร ศิลปิ นคนสำคัญซึ่งสร้างผลงานอันทรงคุณค่า
ให้แก่วงการดนตรี ไทยมากมายได้เกิดและเริ่ มต้นชีวิตศิลปิ นของท่านในรัชกาลนี้ บทบาท
ของท่านต่อวงการดนตรี ไทยมีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัชกาลที่ 5-7 ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ ท่าน
ยังเป็ นนักดนตรี หนุ่ม แต่กเ็ ริ่ มฉายแววว่าจะมีชื่อเสี ยงตอนที่เข้าเป็ น มือระนาดเอกของ
สมเด็จวังบูรพาฯ และประชันระนาดชนะ นายแช่ม ระนาดเอก แห่งวังบ้านหม้อ เมื่อ
พ.ศ. 2443 ในขณะอายุเพียงสิ บเก้าปี
แม้วา่ ในรัชกาลนี้ ท่านยังเป็ นนักดนตรี หนุ่ม แต่เมื่อถึงช่วงปลายรัชกาล ท่านได้เริ่ ม
สร้างสรรค์งานดนตรี เอาไว้บา้ งแล้ว และแนวทางในการทำงานของ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ
ที่ปรากฏในรัชกาลนี้ กส็ ะท้อนให้เห็นว่าท่านเป็ นศิลปิ นที่คิดสร้างสรรค์อยูต่ ลอดเวลา และมี
ใจเปิ ดกว้างต่อวัฒนธรรมดนตรี ของทุกชนชาติ ท่านได้นำวัฒนธรรมดนตรี ใหม่ๆที่ได้
พบเห็นจากต่างประเทศ เข้ามาสร้างสรรค์ดนตรี ไทย สิ่ งที่ท่านสร้างสรรค์ไว้ในรัชกาลนี้ มี
เพลงชวา และ เครื่ องดนตรี ชนิดใหม่ คือ อังกะลุง (angklung)
162
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 74-75.
163
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 77-79.
ไทยมีความหลากหลายขึ้น ศิลปิ นไทยได้จดจำวัฒนธรรมเหล่านี้มาจากสิ่ งที่เห็นรอบตัว
และจากการที่ได้ไปเห็นสิ่ งแปลกใหม่ในต่างประเทศ
เหตุที่ดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลกั ษณะการพัฒนาเช่นนี้ ก็เป็ นเพราะในสมัยนี้
การดนตรี เฟื่ องฟูมาก ถือเป็ นช่วงเวลาที่ดนตรี ไทยรุ่ งเรื องที่สุดเลยทีเดียว ศิลปิ นได้รับการ
อุปถัมภ์เป็ นอย่างดี จึงมีเวลาฝึ กซ้อมให้ชำนาญ และมีการแข่งขันกัน จึงคิดเพลงแปลกๆ
ใหม่ๆได้มาก ประกอบกับบ้านเมืองมีการพัฒนามีการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น คนไทย
จึงได้รู้เห็นสิ่ งแปลกใหม่จากต่างประเทศ ทำให้ศิลปิ นมีโลกทัศน์ที่กว้างขวางขึ้น และด้วย
ทัศนะที่เปิ ดกว้างของศิลปิ นไทยจึงได้หยิบยืมสิ่ งเหล่านั้นมาเป็ นส่ วนประกอบหนึ่งในการ
สร้างสรรค์ดนตรี ให้แปลกพิสดารไปกว่าเดิม ดนตรี ไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีวฒั นธรรม
ดนตรี นานาชาติเข้ามาผสมผสานปะปนมากมายเช่นนี้
การผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่างชาติในดนตรีไทย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
การอุปถัมภ์ งานศิลปวัฒนธรรมในสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ าเจ้ าอยู่หัว
165
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 264-265.
ทำเนียบเก่า ซึ่งมีมาก่อนสมัยรัตนโกสิ นทร์มีชื่อราชทินนาม ของนักดนตรี อยูส่ องชื่อ คือ “เส
นาะดุริยางค์” และ “สำอางดนตรี ” แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระราชทานให้แก่ผใู้ ด
หลักฐานการพระราชทานราชทินนามให้แก่ นักดนตรี ปรากฏชัดเจนเป็ นครั้งแรกในสมัย
รัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่ นเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระราชทานราชทินนาม “ประดิษฐ์
ไพเราะ” ให้แก่ ครู มีแขก เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2396 และเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็ น
“พระประดิษฐ์ไพเราะ” เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2396
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พบว่ามีการพระราชทานราชทินนามให้แก่นกั ดนตรี หลายชื่อ
ได้แก่ สาย อังศุวาทิน ได้รับพระราชทานราชทินนาม “ฉลาดกลองชวา” ให้เป็ น ขุนฉลาด
กลองชวา ในตำแหน่งเจ้ากรมกลองแขกเมื่อปี พ.ศ. 2446 ซึ่งต่อมาในสมัย พระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ขุนฉลาดกลองชวาผูน้ ้ี ได้เลื่อนขึ้นเป็ น หลวงฉลาดกลองชวา และ
ได้เปลี่ยนราชทินนามให้ เป็ น หลวงสิ ทธิวาทิน นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระ-
จุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรงพระราชทานราชทินนามจากทำเนียบเก่าคือ “เสนาะดุริยางค์” ให้
แก่ ขุนเณร สุ องั คะวาทิน เป็ น พระเสนาะดุริยางค์ และ พระราชทานราชทินนาม “สำอาง
ดนตรี ” ให้แก่ พลบ สุ องั คะวาทิน เป็ น หลวงสำอางค์ดนตรี และยังทรงบัญญัติชื่อ “ประสา
นดุริยศัพท์” พระราชทานให้แก่ แปลก ประสานศัพท์ เป็ น ขุนประสานดุริยศัพท์166
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั มีการพระราชทานราชทินนามให้
แก่นกั ดนตรี และนักร้องเป็ นจำนวนมาก มีนกั ดนตรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ประมาณ
60 ตำแหน่ง เป็ น “พระยา” 2 ตำแหน่ง “พระ” 6 ตำแหน่ง “หลวง” 16 ตำแหน่ง “ขุน” 13
ตำแหน่ง และ “หมื่น” อีกประมาณ 20 ตำแหน่ง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่
หัว ทรงบัญญัตินามราชทินนามให้เป็ น ทำเนียบชื่อ คล้องจองกันตามลำดับบรรดาศักดิ์ ถึง
55 รายชื่อ ดังนี้ ประสานดุริยศัพท์ ประดับดุริยกิจ ประดิษฐ์ไพเราะ
เสนาะดุริยางค์ สำอางค์ดนตรี ศรี วาทิต สิ ทธิ์ วาทิน พิณบรรเลงราช พาทย์บรรเลงรมย์
ประสมสังคีต ประณี ตวรศัพท์ คนธรรพวาที ดนตรี บรรเลง เพลงไพเราะ เพราะสำเนียง
เสี ยงเสนาะกรรณ สรรเพลงสรวง พวงสำเนียงร้อย สร้อยสำเนียงสนธ์ วิมลวังเวง บรรเลง
เลิศเลอ บำเรอจิตรจรุ ง บำรุ งจิตรเจริ ญ เพลินเพลงประเสริ ฐ เพลิดเพลงประชัน
สนัน่ บรรเลงกิจ สนิทบรรเลงการ สมานเสี ยงประจักษ์ สมัคเสี ยงประจิตร์ วาทิตสรศิลป์
166
ณรงค์ชยั ปิ ฎกรัชต์, ราชทินนามของนักดนตรีไทย [Online], available URL:
http://www.smusichome.com, 2010 (February, 10).
วาทินสรเสี ยง สำเนียงชั้นเชิง สำเริ งชวนชม ภิรมย์เร้าใจ พิไลรมยา วีณาประจินต์
วีณินประณี ต สังคีตศัพท์เสนาะ สังเคราะห์ศพั ท์สอาง ดุริยางค์เจนจังหวะ ดุริยะเจนใจ
ประไพเพลงประสม ประคมเพลงประสาน ชาญเชิงระนาด ฉลาดฆ้องวง บรรจงทุม้ เลิศ
บรรเจิดปี่ เสนะ ไพเราะเสี ยงซอ คลอขลุ่ยคล่อง ว่องจะเข้รับ ขับคำหวาน ตันตริ การเจนจิต
ตันตริ กิจปรี ชา นารทประสาทศัพท์ คนธรรพประสิ ทธิ์ สาร และยังมีจตุสดมภ์อีก 4 คือ เจน
จัด ถนัด ถนอม ลงท้ายด้วยดุริยางค์ท้ งั หมด ได้แก่ เจนดุริยางค์ จัดดุริยางค์ ถนัดดุริยางค์
ถนอมดุริยางค์167
การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้พระราชทานราชทินนามให้แก่
ศิลปิ นสาขาต่างๆมากมาย ทำให้มีประชาชนบางกลุ่มกล่าวว่า พระองค์ชอบชุบเลี้ยงพวกเต้น
กินรำกิน ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชาธิบาย ดังที่ ประยุทธ สิ ทธิพนั ธ์ ได้กล่าวไว้ในสารคดี
พิเศษ ราชสำนักไทย ว่า
. . . เลี้ยงพวกเต้นกินรำกิน เช่น โขน ละคร ลิเก ก็เพราะทรงเห็นว่าคนเราทุกคน
ควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน เช่น คนมีความรู ้ทางอะไร มีความสามารถแค่ไหน หาก
ทำความดีจะได้ดีเพียงใด เหล่านี้มิใช่วา่ จะต้องเป็ นขุนนางได้เฉพาะคนที่เก่ง
ทางหนังสื อเท่านั้น คนที่เก่งทางใดทางหนึ่งก็ควรได้ดีเป็ นขุนน้ำขุนนางได้
เหมือนกันจะได้ไม่ตอ้ งน้อยเนื้ อต่ำใจกว่ากันได้ และชื่อบรรดาศักดิ์ของขุนนาง
ผูน้ ้ นั ก็บ่งชัดแจ้งอยูแ่ ล้วว่า เป็ นขุนนางในหน้าที่อะไร เช่น พระยาไพศาลศิลปศาสตร์
หรื อขุนประเสริ ฐวิทยาการนี่กร็ ู ้แล้วว่าบุคคลทั้งสองนี้ เป็ นครู ในกระทรวง-
ศึกษาธิการผูท้ ี่สามารถทางไฟฟ้ า ก็มีชื่อทางไฟฟ้ าสว่าง เช่น พระยาวิชชุโชติชำนาญ
และพระยาสุ รการประทีปช่วง เป็ นต้น ส่ วนหน้าที่อื่นๆก็เหมือนกัน ใครทำความดีก็
ได้เป็ นขุนนางในหน้าที่น้ นั ๆ ทัว่ กันหมด พระยาดำรงแพทยาคม พระยาแพทย์พงษา
ก็เป็ นหมอ พระยาประสานดุริยศัพท์ ประดับดุริยกิจ ประดิษฐดุริยางค์ สำอางดนตรี
ศรี วาทิต สิ ทธิวาทิน พิณบรรเลงราช พาทบรรเลงรมย์เหล่านี้ บ่งชัดว่าเป็ นพวก
ดีด สี ตี เป่ า . . .168
167
พูนพิศ อมาตยกุล, นามานุกรมศิลปิ นเพลงไทย ในรอบ 200 ปี แห่ งกรุง
รัตนโกสิ นทร์ (กรุ งเทพฯ: เรื อนแก้วการพิมพ์,2532), หน้า 217.
168
ประยุทธ สิ ทธิพนั ธ์, ราชสำนักไทย, (พระนคร: คลังวิทยา, 2505) , หน้า 478-479
อ้างถึงใน สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 262.
เมื่อกิจการมหรสพต่างๆของราชสำนักได้รับการกำกับดูแลอย่างดีจากกรมมหรสพ
และบรรดาศิลปิ นได้รับการอุปถัมภ์เป็ นอย่างดี จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั
จึงทำให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยในสมัยนี้ มีความเข้มแข็งมากขึ้น
2. โรงเรียนพรานหลวง
โรงเรี ยนพรานหลวง เป็ นโรงเรี ยนฝึ กหัดนาฏศิลป์ แห่งแรกของประเทศไทย โดยจะ
ทำการสอนทั้ง วิชาสามัญและวิชาศิลปะสาขาดนตรี และนาฏศิลป์ ควบคู่กนั ไป โรงเรี ยน
พรานหลวง เกิดขึ้นจาก การที่มีผนำ ู้ บุตรหลานมาฝากเข้าในกรมมหรสพ เพือ่ ฝึ กหัดโขนและ
ดนตรี เพื่อว่าจะได้มีโอกาสเข้ารับราชการในกรมมหรสพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า
อยูห่ วั ทรงพิจาณาว่า การให้ลูกหลานให้เรี ยนรู ้แต่ดนตรี และนาฏศิลป์ เพียงอย่างเดียวไม่
เพียงพอ ควรให้เรี ยนรู ้วิชาสามัญควบคู่ไปด้วย จึงได้ริเริ่ มตั้งโรงเรี ยนขึ้นในกรมมหรสพ
เหตุที่ชื่อโรงเรี ยนพรานหลวง ก็เป็ นเพราะในเวลานั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ-
เกล้าเจ้าอยูห่ วั ตั้งกองเสื อป่ าขึ้นเป็ นทหารรักษาพระองค์ เมื่อ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 และ
ให้ขา้ ราชการในกรมมหรสพเป็ นพลเสื อป่ าพิเศษ เรี ยกว่าทหารกระบี่ ก็คือพลลิง โดยสมมุติ
พระองค์เองเป็ นพระราม เมื่อมีลูกหลานมาฝึ กโขน บรรดาลูกหลานจึงได้เป็ นทหารกระบี่
ด้วยกันทุกคน เมื่อมีการตั้งโรงเรี ยนขึ้นในกรมมหรสพ จึงเรี ยกว่า กองโรงเรี ยนทหารกระบี่
หลวง ต่อมา เมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2457 ก็ได้ยบุ กองทหารกระบี่หลวง มาอยูใ่ นกรมเสื อป่ า
พรานหลวง และเปลี่ยนชื่อโรงเรี ยนเป็ น โรงเรี ยนพรานหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์169
ซึ่งโรงเรี ยนนี้ กเ็ ป็ นแหล่งฝึ กหัดศิลปิ นจำนวนมาก และต้นแบบของโรงเรี ยนนาฏศิลป์ ที่กรม
ศิลปากร ตั้งขึ้นในยุคต่อมา
3. กรมศิลปากร
กรมศิลปากร เป็ นกรมใหม่ที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั โปรดเกล้าฯ
ให้ก่อตั้งขึ้น ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2454 โดยโอนกิจการของกรมช่างมหาดเล็กจาก
กระทรวงวัง และและกรมพิพิธภัณฑ์ จากกระทรวงธรรมการ มาร่ วมกันตั้งเป็ นกรมศิลปากร
เมื่อ 27 มีนาคม พ.ศ. 2454 ในสมัยนี้ยงั ไม่มีกรมมหรสพมารวม170 และในเวลานี้ ยงั ไม่มี
169
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 265-266.
170
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 266.
บทบาทมากนัก แต่กรมศิลปากรจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญต่องานทางด้าน ศิลปวัฒนธรรม
ของไทยในสมัยต่อมา
ที่กล่าวมานั้นเป็ นสิ่ งที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทางริ เริ่ มขึ้น แสดง
ให้เห็นว่าพระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์การมหรสพ ดนตรี และบรรดาศิลปิ นเป็ นอย่างดี ทั้งการ
รวบรวมกรมมหรสพ ก่อตั้งโรงเรี ยนนาฏศิลป์ กรมศิลปากรและการพระราชทาน
ราชทินนามแก่ศิลปิ น ซึ่งเป็ นประโยชน์แก่วงการดนตรี นาฏศิลป์ ของไทยทั้งสิ้ น ดังนั้น
ศิลปะวัฒน-ธรรมของไทยในรัชกาลนี้ จึงได้ เจริ ญรุ่ งเรื องเป็ นอย่างยิง่
ลักษณะการพัฒนาของดนตรีและมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 6
171
เรณู โกสิ นานนท์, เรื่ องเดิม. หน้า 24.
172
มนตรี ตราโมท, เรื่ องเดิม, หน้า 109-110.
การเปลีย่ นแปลงของดนตรีไทยสมัยรัชกาลที่ 6
การแก้ไขปัญหาในช่วงแรก แม้จะได้ผลดีแต่ในเวลาต่อมามีปัจจัยภายนอกประเทศได้
ซ้ำเติมเข้ามาอีกระรอก คือใน พ.ศ. 2472 ได้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทัว่ โลก ที่เรี ยกกันว่า Great
Depression ทำให้ทุกประเทศประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน สิ นค้าไทยโดยเฉพาะ
ข้าวขายไม่ได้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั จึงจำเป็ นต้องใช้นโยบายลดรายจ่ายอีก
ครั้ง โดย ยุบกระทรวงทหารเรื อไปรวมกับกระทรวงสงคราม และตั้งเป็ นกระทรวงกลาโหม
ขึ้น ในส่ วนภูมิภาคให้ลด มณฑลลดลงจาก 14 เหลือ 10 และลดจังหวัดจาก 79 เหลือ 70 และ
ยังปลดข้าราชการอีกเป็ นจำนวนมาก ซึ่งข้าราชการกระทรวงกลาโหมถูกปลดและลดเงิน
เดือนมากที่สุด ในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ทำให้ สถานการณ์ของประเทศดีข้ ึนบ้าง แต่กไ็ ด้
สร้างความไม่พอใจให้แก่ขา้ ราชการจำนวนมาก176
สภาพการณ์เช่นนี้ส่งผลให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับ ศิลปวัฒนธรรมของหลวง
ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เกิดขึ้นโดยทันทีกค็ ือการยุบโรงเรี ยนพรานหลวง
ซึ่งเป็ นโรงเรี ยนฝึ กหัดนาฏศิลป์ และวิชาสามัญ เพราะในเวลานั้นการอุปถัมภ์นกั เรี ยน ทั้ง
ค่าเล่าเรี ยน ค่าเสื้ อผ้า อาหาร สิ้ นเปลืองมาก จึงโปรดฯให้ยบุ เสี ย เมื่อ วันที่ 31 ธันวาคม 2468
เพียง 35 วันหลังจากที่รัชกาลที่ 6 สวรรคต ซึ่งถือว่ากะทันหันมากสำหรับนักเรี ยน สำหรับ
กรมมหรสพนั้นโปรดให้โอนข้าราชการในสังกัดไปกระทรวงวังเท่าที่จำเป็ น คือให้
ข้าราชการสายปี่ พาทย์ เครื่ องสายฝรั่งหลวง และช่างบางคน ย้ายไปสังกัดกระทรวงวัง ส่วน
กรมโขนนั้นยุบโดยปลดข้าราชการออกทั้งหมด รวมทั้งกองรำโคมด้วย ซึ่งข้าราชการกรม
โขนในเวลานั้นมี ผูบ้ งั คับบัญชา 7 คน ครู และนักรำตัวดี 20 คน พนักงานเจรจา 2 คน
จำอวด 4 คน กองรำโคม 2 คน กองคลังเครื่ อง 2 คน แผนกรักษาโรงโขนหลวง 2 คน
ทั้งหมด 39 คน เป็ นครู และศิลปิ นเพียง 29 คน177 ศิลปวัฒนธรรม ด้านดนตรี และนาฏศิลป์
176
วิไลเลขา บุรณศิริ สิ ริรัตน์ เรื องวงษ์วาร และ ศิวพร สุ นทรวิภาต, ประวัติศาสตร์
ไทย 2, เรื่ องเดิม, หน้า 473-474.
177
สุ รพล วิรุฬห์รักษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 312.
ของไทยในเวลานี้ จึงเสื่ อมโทรมลง เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจกันทัว่ หน้า
โดยเฉพาะกรมโขนที่ถูกปลดออกทั้งหมด
178
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, 121.
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้นำวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศเข้ามาสร้างสรรค์ดนตรี ไทย อีก
สองประการ คือ
1. ปี่ พาทย์ชวา
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ เคยเดินทางไปชวามาแล้วครั้งหนึ่ง ในคราวนั้นได้องั กะลุง
และเพลงสำเนียงชวากลับมา ใน พ.ศ. 2473 หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้มีโอกาสได้ควบคุม
วงปี่ พาทย์ชวา ที่บรรเลงในประเทศไทย
เนื่องจากใน พ.ศ. 2472 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั ได้เสด็จประพาส
ชวา ซึ่งตลอดการเสด็จประพาสนั้นพระองค์ได้ทอดพระเนตร การแสดงละครและดนตรี
ของชวามากมาย เป็ นที่พอพระทัย เมื่อ ปะกูภูวโน ที่ 10 สุ สุฮูนนั แห่งเมืองสุ รคาร์ตา หรื อ
เมืองโซโล กษัตริ ยแ์ ห่งชวาซึ่งมีความนิยมในดนตรี และมีความสัมพันธ์อนั ดีกบั พระมหา
กษัตริ ยไ์ ทย ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั นิยมในปี่ พาทย์ชวา เมื่อ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั กลับสู่ ประเทศไทยแล้ว กษัตริ ยช์ วาจึงได้ส่งเครื่ องปี่
พาทย์ชวาเครื่ องใหญ่ท้ งั ชุดครบทั้งสองระดับเสี ยงคือ เปลอค 7 เสี ยง และสเลนโดร 5 เสี ยง
มาถวาย เครื่ องดนตรี ทุกชิ้นมีสลักอักษร P.B.X หมายถึงพระนามปะกูภูวโนที่สิบ
เมื่อได้รับเครื่ องปี่ พาทย์ชวาเข้ามาแล้ว หลวงประดิษฐ์ไพเราะซึ่งเป็ นผูร้ ู ้ในดนตรี
ชวา ได้เป็ นผูค้ วบคุมวง และฝึ กสอนนักดนตรี ของกรมปี่ พาทย์และโขนหลวง เพื่อ นำปี่ พาทย์
ชวาออกแสดงในงานขึ้นปี ใหม่ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2473 ณ พระที่นงั่ อัมพรสถาน179
จึงได้มีการบรรเลงปี่ พาทย์ชวาในกรุ งเทพฯ แต่ปี่พาทย์ชวาในกรุ งเทพฯนี้ ก็ไม่ได้มีลกั ษณะ
เดียวกับปี่ พาทย์ชวาแบบดั้งเดิม เพราะ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้ดดั แปลงให้เป็ นไทยมาก
แล้ว
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 คนไทยนิยมเล่นเพลงชวากันอยูไ่ ม่นอ้ ย แต่ในการ
บรรเลงต้องปรับเสี ยงเครื่ องดนตรี ให้สูงขึ้น เรี ยกว่า ทางชวา 180 ซึ่งไม่แน่ชดั ว่าเหตุที่คนไทย
นิยมเพลงชวานั้น เป็ นผลจากการที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะบรรเลงปี่ พาทย์ชวาในกรุ งเทพฯ
หรื อไม่
แม้วา่ ดนตรี ไทยจะมีเพลงสำเนียงชวา และมีการบรรเลงปี่ พาทย์ชวา แต่ปี่พาทย์ชวา
แท้ ๆ ก็มิได้แพร่ หลายในประเทศไทย อาจเป็ นเพราะน้ำเสี ยงดนตรี ชวาไม่เข้ากับดนตรี ไทย
179
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 153.
180
พลูหลวง และ ส.ตุลยานนท์, เรื่ องเดิม, หน้า 239-240.
ก็เป็ นได้ ดังที่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายไว้ในลายพระหัตถ์ถึง สมเด็จ
กรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ ว่า
. . . เนื้อเพลงของชวานั้น เราจะจำถ่ายเอาไปเล่นบ้างไม่ได้เลย เพราะเครื่ อง
ของเราไม่อำนวยด้วยเทียบเสี ยงคนละอย่างต่างกัน เสี ยงเพลงของเขาเรา
ฟังว่าเป็ นเพี้ยนดังเหน่อๆไปชอบกล เครื่ องชวาที่เราได้เข้าไปในกรุ งเทพฯ
พวกปี่ พาทย์ไทย เอาไปเทียบแก้เปลี่ยนเสี ยงเสี ยเป็ นเสี ยงไทย . . .181
ดังนั้นจึงเชื่อได้วา่ ปี่ พาทย์ชวาหรื อเพลงชวา ที่มีอยูใ่ นประเทศไทยได้ถูกดัดแปลง
ให้เป็ นไทยเกือบทั้งหมดแล้ว เช่นเดียวกับวัฒนธรรมดนตรี ต่างชาติอื่นๆที่มกั จะถูกคนไทย
ดัดแปลงให้เป็ นแบบไทย
2. เพลงจากเขมร
ใน พ.ศ. 2473 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั เสด็จประพาสเวียดนามและ
กัมพูชา และโปรดฯให้ หลวงประดิษฐ์ไพเราะติดตามไปด้วย เพื่อให้นำดนตรี ไปแสดงที่
เขมร ในขณะที่อยูท่ ี่ประเทศเขมรนั้นหลวงประดิษฐ์ไพเราะได้มีโอกาสแสดงดนตรี
ให้แขกต่างประเทศ และสมเด็จพระเจ้ามณี วงศ์กษัตริ ยเ์ ขมรทรงได้รับฟัง เป็ นที่พอพระทัย
มาก สมเด็จพระเจ้ามณี วงศ์ ทรงขอตัว หลวงประดิษฐ์ไพเราะไว้ในราชสำนักกัมพูชา เพื่อจะ
ให้เป็ นครู สอนนักดนตรี ในราชสำนักเขมร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั ทรง
อนุญาต หลวงประดิษฐ์ไพเราะจึงต้องอยูใ่ นราชสำนักกัมพูชาต่ออีกเป็ นเวลาหนึ่งเดือน
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้น หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้สอนนักดนตรี เขมรเป็ นจำนวนมาก
ในขณะเดียวกัน ท่านก็ได้จดจำสำเนียงเพลงเขมรเอาไว้มากมาย เมื่อกลับถึงเมืองไทย ก็ได้
นำสำเนียงเพลงเหล่านั้นมาปรับปรุ งเป็ นเพลงไทย หลายเพลง เช่น ขะแมร์ธม นกเขาขะแมร์
เป็ นต้น182 ดนตรี ไทยจึงมีเพลงสำเนียงเขมรเพิม่ ขึ้นอีกในครั้งนั้น
การที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะได้นำเพลงไทยไปเผยแพร่ ยงั ต่างประเทศ และจดจำ
เพลงเขมรกลับมาดัดแปลงเป็ นเพลงไทยอีกจำนวนมาก นั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า
อยูห่ วั ได้พระราชทาน เหรี ยญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยาแก่หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ซึ่งนับเป็ น
เกียรติอย่างสูงส่ ง
181
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, สาส์นสมเด็จเล่ม 11,
หน้า 210.
182
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 156.
ในสมัยรัชกาลที่ 7 แม้จะเป็ นช่วงเวลาที่ดนตรี ไทยเริ่ มที่จะหยุดเคลื่อนไหว
เปลี่ยนแปลงและพัฒนาแล้ว แต่ยงั มีการเคลื่อนไหวอยูบ่ า้ ง โดยเฉพาะตัวศิลปิ นก็ยงั คงคิด
สร้างสรรค์ดนตรี อยูเ่ ช่นเดิม ดังที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ได้บรรเลงปี่ พาทย์ชวาในกรุ งเทพฯ
และประดิษฐ์เพลงเขมรเพิ่มเติม
183
วิมาลา ศิริพงษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 32.
184
วิไลเลขา บุรณศิริ สิ ริรัตน์ เรื องวงษ์วาร และ ศิวพร สุ นทรวิภาต, ประวัติศาสตร์
ไทย 2, หน้า 497.
แสดงถึงความเจริ ญงอกงาม ความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ
และศีลธรรมอันดีของประชาชน 185
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดำเนินการโดยออกรัฐ
นิยม (State Convention) ซึ่งเป็ นเหมือนระเบียบประเพณี ประจำชาติให้ประชาชนได้ปฏิบตั ิ
โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้กล่าวทางวิทยุกระจายเสี ยงต่อประชาชนว่า
. . . “รัฐนิยม” คือการปฏิบตั ิให้เป็ นประเพณี นิยมที่ดีประจำชาติ เพื่อให้บุตรหลาน
อนุชนคนไทยเรายึดถือเป็ นหลักปฏิบตั ิ รัฐนิยมนี้ มีลกั ษณะและละม้ายคล้ายคลึง
กับจรรยามารยาทของอารยชนจะพึงประพฤตินนั่ เอง ในรัฐนิยมยังมีพฤติกรรม
เพิม่ พิเศษขึ้นอีกอย่างหนึ่งคือ “อำนาจมหาชน” อำนาจมหาชนนั้น แปรรู ปมาจาก
มติมหาชนซึ่งเราเคยได้ยนิ ได้ฟังมาแล้ว หมายความว่า การกระทำสิ่ งใดให้ดำเนิน
ตามความเห็นของส่ วนมากของชาติ ความเห็นดีเห็นชอบของประชาชนส่ วนใหญ่
นั้นก่อให้เกิดอำนาจมหาชนขึ้น อำนาจมหาชนนั้นสามารถทำการปรับปรุ ง
หรื อปราบปรามกลุ่มชนส่ วนน้อยที่ยงั ว่านอนสอนยาก ไม่มีเวลาดีข้ ึนมาเสมอ
กับผูอ้ ื่นได้ . . .186
รัฐนิยม มีท้งั สิ้ น 12 ฉบับ ซึ่งมีเนื้ อหาที่สำคัญได้แก่ เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็ น
ไทย เปลี่ยนวันขึ้นปี ใหม่จาก วันที่ 1 เมษายน เป็ น วันที่ 1 มกราคม , ปรับการใช้อกั ษรไทย
จาก 44 ตัว เหลือ 31 ตัว (ซึ่งต่อมาไม่เป็ นที่นิยมจึงกลับไปใช้แบบเดิม) , ยกเลิกบรรดาศักดิ์
เช่น พระยา หลวง ขุน และปรับชื่อบุคคลให้เหมาะสมกับเพศ , ให้ประชาชนยืนตรงแสดง
ความเคารพเมื่อได้ยนิ เพลงชาติและเพลงสรรเสริ ญพระบารมี ให้ใช้คำทักทายว่า สวัดดี , เลิก
นุ่งโจงกระเบน ให้นุ่งกางเกง กระโปรง สวมหมวก ใส่ รองเท้า สวมถุงมือ ถุงเท้า หัดรำวง
ปรบมือเมื่อเริ่ มหรื อจบการแสดง เข้าแถวเพื่อเรี ยงลำดับก่อนหลัง, ไม่นงั่ กับพื้น ไม่กินหมาก,
รณรงค์ให้ประหยัด ด้วยการกินก๋ วยเตี๋ยวและปลูกผักสวนครัว187 และยังมีการรณรงค์ให้คน
ไทยรักชาติ ไม่บอกความลับแก่ต่างชาติ ข้าราชการจะแต่งงานกับคนต่างชาติไม่ได้
185
ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์, บรรณาธิการ, อนุสรณ์ ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล
ป.พิบูลสงคราม 14 กรกฎาคม 2540 (กรุ งเทพฯ: ศูนย์การทหารปื นใหญ่, 2540), หน้า 357.
186
หจช.ศธ. o ๗ o ๑.๒๙/๔ (๑๕) คำอธิบายรัฐนิยม (พ.ศ. ๒๔๘๒). อ้างถึงใน
ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์, บรรณาธิการ, อนุสรณ์ ครบรอบ 100 ปี ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูล
สงคราม 14 กรกฎาคม 2540, เรื่ องเดิม, หน้า 399.
รัฐนิยมที่ประกาศมานั้นมีผลใช้บงั คับอย่างจริ งจัง ซึ่งผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ิตาม มีบทลงโทษ
ด้วย ในช่วงแรกผูฝ้ ่ าฝื นมีโทษปรับไม่เกิน 12 บาท ต่อมามีการเพิ่มโทษขึ้นเรื่ อยๆ เช่นตามพ
ระราชบัญญัติวฒั นธรรมแห่งชาติฉบับที่ 2 พ.ศ. 2486 ผูฝ้ ่ าฝื นต้องเสี ยค่าปรับไม่เกิน 100
บาท หรื อจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรื อทั้งจำทั้งปรับ188 ซึ่งถือเป็ นมาตรการที่รุนแรงมาก
สำหรับความผิดทางวัฒนธรรม การดำเนินนโยบายทางวัฒนธรรมนั้น มีหน่วยงานที่รับผิด
ชอบหลายหน่วยงาน เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี สภาวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวง
มหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุ ข เป็ นต้น โดยทางรัฐบาลจะเผยแพร่
ความรู ้ทางวัฒนธรรม พร้อมกับจูงใจให้ปฏิบตั ิตามรัฐนิยม และปลุกใจประชาชนให้รักชาติ
ทางสื่ อต่างๆเช่น วิทยุ และหนังสื อพิมพ์189
187
อาทร จันทวิมล, ประวัติของแผ่ นดินไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์อกั ษร
ไทย, 2546), หน้า 309.
188
ไพบูลย์ กาญจนพิบูลย์, บรรณาธิการ, เรื่ องเดิม, หน้า 391.
189
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 393.
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ส่งผลกระทบต่อสังคม
ไทยในทุกๆด้าน รวมทั้งวัฒนธรรมด้านดนตรี และนาฏศิลป์ เพราะดนตรี และนาฏศิลป์ เป็ น
สิ่ งที่แสดงถึงความเจริ ญของชาติ และเป็ นสื่ อที่มีประสิ ทธิภาพสำหรับการเผยแพร่
นโยบายของรัฐ โฆษณาชวนเชื่อ และปลูกฝังศีลธรรมให้แก่ประชาชน จอมพล ป. พิบูล
สงคราม จึงถือว่าการปรับปรุ ง ดนตรี และละครเป็ นงานสำคัญของชาติ190 โดยมีหลวงวิจิตร
วาทการ เป็ นผูม้ ีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนและเผยแพร่ นโยบายวัฒนธรรมของ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เพราะหลวงวิจิตรวาทการเป็ นอธิบดีกรมศิลปากร เป็ นประธาน
คณะกรรมการรัฐนิยม และเป็ นผูเ้ ขียนบทละครปลุกใจให้เกิดความรู ้สึกชาตินิยม โดย
สามารถทำงานสอดคล้องกับนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงครามได้เป็ นอย่างดี หลวง
วิจิตรวาทการมีแนวความคิดแบบชาตินิยมเช่นเดียวกัน หลวงวิจิตรวาทการ ได้ปรับปรุ ง
ละครของไทยให้เป็ นแบบ ละครชาตินิยมเพื่อปลุกใจให้คนไทยรักชาติ เช่นเรื่ อง “เลือด
สุ พรรณ” ก่อนที่จอมจอมพล ป. พิบูลสงครามจะมีอำนาจ ใน พ.ศ. 2481 หลวงวิจิตรวาทการ
ได้ทำละครชาตินิยมมาแล้วไม่ต ่ำกว่า 4 เรื่ อง191
ต่อมา จอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าการดนตรี และละครของไทยยังไม่เป็ นอารยะ
อาจเป็ นที่ดูถูกดูแคลนของต่างชาติได้ จำเป็ นต้องปรับปรุ งให้ทดั เทียมกับชาติที่พฒั นาแล้ว
จึงจัดตั้งคณะกรรมการวัฒนธรรมขึ้นมาเพื่อปรับปรุ งและส่ งเสริ มการดนตรี และละคร มีพระ
วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวยากรเป็ นประธาน มีการพยายามปรับปรุ งโดยใช้แบบอย่าง
จากตะวันตก และได้ประกาศเป็ นพระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมทางศิลปกรรมเกี่ยว
กับการแสดงละครพุทธศักราช 2485192 ซึ่งมีสาระสำคัญคือ จัดแยกการแสดงของไทยเป็ น
ประเภทต่างๆ (โดยใช้มาตรฐานอย่างตะวันตก) และการแสดงแต่ละอย่างนั้นมีขอ้ บังคับ
190
จิรพร วิทยศักดิ์พนั ธุ์, นโยบายวัฒนธรรมของจอมพลป. พิบูลสงคราม : ลัทธิ
ชาตินิยมกับผลกระทบทางสุ นทรี ยทัศน์, เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่ อง จอมพล ป.
พิบูลสงครามกับการเมืองไทยสมัยใหม่ ใน จอมพล ป. พิบุลสงครามกับการเมืองไทยสมัย
ใหม่ , ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ และ วิกลั ย์ พงศ์พนิตานนท์,
บรรณาธิการ, พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุ งเทพ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,2544), หน้า 261.
191
จิรพร วิทยศักดิ์พนั ธุ์, นโยบายวัฒนธรรมของจอมพลป. พิบูลสงคราม : ลัทธิ
ชาตินิยมกับผลกระทบทางสุ นทรี ยทัศน์, เรื่ องเดิม, หน้า , 265.
192
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 282-283.
อย่างเข้มงวด ต้องมีลกั ษณะการแสดงอย่างอารยะ ถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ เช่น สวม
รองเท้า ไม่แสดงกิริยาไม่สุภาพ กระทืบเท้า ถ่มน้ำลาย พูดคำหยาบคาย การแต่งกายต้องถูก
ต้องตามหลักรัฐนิยม เป็ นต้น และในการจัดแสดงต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรก่อน
ข้อกำหนดเช่นนี้ เป็ นความยากลำบากแก่ประชาชน และสร้างความสับสนให้กบั นัก
แสดงมาก เพราะเป็ นการยากที่จะระบุวา่ การแสดงชนิดนั้นๆจัดอยูใ่ นประเภทใด จะต้อง
แสดงอย่างไร จะจัดแสดงได้หรื อไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเองก็ไม่สามารถให้คำตอบได้
ชัดเจน และการแสดงบางอย่างที่เห็นว่าหยาบคายก็ถูกห้ามเล่น เช่น ลำตัด ละครลิง เสภารำ
แม้แต่ละครชาตรี กถ็ ูกห้ามเล่นในเขตพระนครและธนบุรี ยกเว้นการเล่นแก้บนตามบ้าน
เพราะเห็นว่าการแสดงละครชาตรี ไม่ถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์ 193
การดนตรี กไ็ ด้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากนโยบายชาตินิยมของรัฐบาล ได้มีการ
แก้ไขดนตรี ที่ไม่มีลกั ษณะเป็ นไทย ใน พ.ศ. 2482 มีการตัดชื่อเพลงไทยที่มีชื่อเป็ นต่างชาติ
โดยให้ตดั ชื่อต่างชาติ เช่น ลาว เงี้ยว ออกถึง 56 เพลง แม้แต่ ซอด้วง ซออู ้ ก็หา้ มเล่น เพราะ
สงสัยว่าเป็ นของจีน194
ต่อมามีการออก พระราชกฤษฎีกา กำหนดวัฒนธรรมเกี่ยวกับการบรรเลงดนตรี การ
ขับร้อง และการพากย์ มีท้ งั หมด 14 มาตรา โดยมีหลักการเพื่อ “ควบคุมการบรรเลงดนตรี ใน
ประเทศไทยให้เป็ นไปตามทำนองสากลนิยม และควบคุมการขับร้องและการพากย์ ให้ถูก
ต้องตามวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีแก่ประชาชน เพื่อความก้าวหน้าแห่งศิลปกรรมของ
ชาติ” โดยให้คำจำกัดความของดุริยางค์ไทย ว่า วงดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่ องดีด เครื่ องสี
เครื่ องตี เครื่ องเป่ า ซึ่งได้ปรับปรุ งให้มีระดับเสี ยงอย่างสากล195 และ ต่อมา ใน พ.ศ. 2486
กรมศิลปากรออกระเบียบการว่าด้วยการขออนุญาตและควบคุมการบรรเลงดนตรี โดย
เอกเทศการขับร้องและการพากย์ ซึ่งข้อกำหนดหลายข้อ ส่ งผลกระทบต่อการบรรเลงดนตรี
ไทย ดังนี้ (ตัวสะกดตามต้นฉบับ)
. . . อาสัยอำนาดตามความไนมาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชกริ สดีกา
กำหนดวัธนธัมทางสิ ลปกัมเกี่ยวกับการบันเลงดนตรี การขับร้องและการพากย์
พุทธสักราช ๒๔๘๖ และด้วยความเห็นชอบของสภาวัธนธัมแห่งชาติ กรมสิ ลปากร
193
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 286-287.
194
เรื่ องเดียวกัน, หน้า 249-250.
195
อานันท์ นาคคง และ อัษฎาวุธ สาคริ ก, เรื่ องเดิม, หน้า 235-236.
กำหนดระเบียบการขออนุญาตการควบคุมการบันเลงดนตรี โดยเอกเทส การขับร้อง
และการพากย์ไว้ดงั่ ต่อไปนี้
การบันเลงดนตรี ที่ผดิ แผกจากที่กล่าวนี้ ถ้ามีเหตุผลเปนพิเสส ก็ไห้ผปู้ ระสงค์
จะจัดการบรรเลงยืน่ คำร้องชี้แจงสแดงเหตุผลโดยละเอียดทั้งสแดงความจำเปน
พิเสสจิง แล้วยืน่ ต่อกรมสิ ลปากร
๓. การบันเลงดนตรี ที่มิตอ้ งขออนุญาตก็ดี หรื อที่ตอ้ งขออนุญาตและได้รับอนุญาต
แล้วก็ดีถา้ กรมสิ ลปากรพิจารนาเห็นว่า ได้จดั บันเลงไม่ถูกต้องตามหลักวิชา หรื อ
ไม่เหมาะสมด้วยประการไดๆ จะสัง่ ไห้แก้ไขไหม่หรื อระงับการบันเลงเสี ยเลยก็ได้
๔.ผูข้ บั ร้องประกอบการสังคีต และขับร้องโดยเอกเทสซึ่งมิไช่ขบั ร้องตามบท
ละคอนและผูพ้ ากย์ ต้องยืน่ เรื่ องราวขออนุญาตต่อกรมสิ ลปากรก่อนการสแดง
ไม่นอ้ ยกว่า ๓ วัน และต้องส่ งบทประพันธ์ ๓ ชุดพร้อมกับเรื่ องราวขออนุญาตด้วย
๕.ไนการตรวดบทประพันธ์ ถ้ากรมสิ ลปากรเห็นสมควนไห้แก้ไขเปลี่ยนแปลง
หยางไดผูข้ ออนุญาตต้องปติบตั ิตาม
๖. ผูบ้ นั เลงดนตรี ผูข้ บั ร้อง และผูพ้ ากย์ ต้องปติบตั ิการแต่งกายให้ถูกต้องตาม
รัถนิยมห้ามมิไห้นงั่ บันเลง ขับร้อง และพากย์บนพื้นราบ ต้องจักที่วางเครื่ องดนตรี
ไห้สามาถนัง่ บันเลงได้โดยเหมาะสมเปนอารยะ
๗. ทุกคราวที่มีการบันเลงดนตรี การขับร้อง หรอการพากย์ ผูจ้ ดั ไห้มีการสแดง
ต้องยอมไห้เจ้าหน้าที่ของกรมสิ ลปากรเข้าดูได้ เจ้าหน้าที่น้ี กรมสิ ลปากรจะได้
ออกบัตรประจำต้วไห้เปนสำคัน
๘. การบันเลงดนตรี สากลนิยมทุกประเภท และดนตรี ประเพนีนิยมฉเพาะประเภท
ปี่ พาทย์ เครื่ องสาย และมโหรี ที่จดั ทำเปนอาชีพอันมิใช่เปนของทางราชการ
หรื อองค์การของรัถบาล ซึ่งผูไ้ ดจะจัดไห้มีข้ึนพายหลังวันที่ ๘ มิถุนายน
พ.ส. ๒๔๘๖ จะต้องไช้ผบู้ รรเลงซึ่งได้รับประกาสนียบัตรของกรมสิ ลปากรว่า
เปนสิ ลปิ น หรื อไบสำคันที่กรมสิ ลปากรเทียบเท่าสิ ลปิ นตามระเบียบการของ
กรมสิ ลปากรว่าด้วยการอบรมสิ ลปิ น ห้ามมิไห้ไช้ผบู้ รรเลงซึ่งมิได้รับประกาสนีย
บัตรหรื อไบสำคันที่กล่าวข้างต้น
๙. ไห้ขา้ หลวงประจำจังหวัดทุกจังหวัด เว้นจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี
เปนพนักงานเจ้าหน้าที่ผไู้ ช้อำนาดไนการอนุญาตและการควบคุมการบรรเลงดนตรี
ตามมาตรา ๙ แห่งพระราชกริ สดีกากำหนดวัธนธัมทางสิ ลปกัมเกี่ยวกับการบรรเลง
ดนตรี พุทธสักราช ๒๔๘๖ไนเขตจังหวัดของตนแทนกรมสิ ลปากร และไห้ถือ
ไช้ระเบียบการนี้ โดยอนุโลม . . .196
การออกระเบียบข้อบังคับเช่นนี้ เป็ นเจตนาของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตอ้ งการ
ให้การบรรเลงดนตรี ของไทยเป็ นอารยะทัดเทียมกับนานาประเทศ ตามแนวทางชาตินิยมให้
เวลานั้น แต่สำหรับการดนตรี ไทยแล้วไม่เป็ นผลดี เพราะเป็ นการฝื นธรรมชาติของดนตรี
ไทย และเป็ นการทำลายภูมิปัญญาทางดนตรี ที่สัง่ สมมาเป็ นเวลายาวนาน การบรรเลงดนตรี
จึงทำได้ยากลำบาก หรื อแทบจะทำไม่ได้เลย ในเวลานั้นนักดนตรี ไทยได้รับความยากลำบาก
กันมาก แม้แต่เล่นดนตรี ในบ้าน แล้วมีเสี ยงเล็ดลอดออกไปก็มีความผิด การดนตรี ไทยจึง
เสื่ อมโทรมลงเป็ นอย่างมาก ศิลปิ นทั้งหลายล้วนคับแค้นใจ จนเป็ นเหตุให้หลวงประดิษฐ์
ไพเราะแต่งเพลงแสนคำนึง เพื่อระบายความช้ำใจในครั้งนั้น และหวังประชดประชัน
นโยบายของรัฐบาล แต่เนื้อร้องเพลงนี้ ถูก คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ทำลายเสี ยตั้งแต่วนั แรก
ที่หลวงประดิษฐ์ไพเราะนำเนื้อเพลงนี้มาสอนให้ฝึกร้อง หลวงประดิษฐ์ไพเราะไม่พอใจเป็ น
อย่างมาก คุณหญิงชิ้นจึงตอบว่า “ถ้าไม่ฉีกทิ้งเดี๋ยวพลั้งเผลอหรื อใครมาค้นบ้านได้อ่านเข้า
คุณพ่อจะติดตาราง”197 แสดงให้เห็นว่าคนไทยในเวลานั้นเกรงกลัวอำนาจของรัฐบาลเพียงใด
การที่รัฐบาลออกข้อกำหนดควบคุมการบรรเลงดนตรี เช่นนี้ อาจเป็ นเพราะ จอมพล ป.
พิบูลสงคราม มีความตั้งใจเป็ นอย่างสูงที่จะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมของไทยทุกประการให้
เป็ นอารยะ แต่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อาจไม่มีความรู ้ความเข้าใจในดนตรี ไทยอย่าง
แท้จริ ง และนำเอา บรรทัดฐาน ของดนตรี ตะวันตก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็ นวัฒนธรรมดนตรี ของ
ชาติที่เจริ ญแล้วมาใช้ในดนตรี ไทยด้วยความไม่เข้าใจ และใช้มากเกินไป ซึ่งไม่เป็ นผลดีต่อ
ดนตรี ไทย และกลับกลายเป็ นการทำลายดนตรี ไทย ซึ่งเป็ นวัฒนธรรมของชาติที่ทรงคุณค่า
ไปเสี ย
บทที่ 7
บทสรุป
198
วิมาลา ศิริพงษ์, เรื่ องเดิม, หน้า 34.
ดนตรี ไทยในปัจจุบนั คือการเก็บรักษาภูมิปัญญาทางดนตรี ที่ผา่ นการปรับปรุ งพัฒนา
มาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ดังนั้นลักษณะของดนตรี ไทยปัจจุบนั ก็คือสิ่ งสะท้อนเรื่ อง
ราวในอดีตได้เป็ นอย่างดี ลักษณะที่โดดเด่นและน่าสนใจที่สุดของดนตรี ไทยคือ การที่
ดนตรี ไทยมีวฒั นธรรมดนตรี ต่างประเทศผสมผสานปะปนอยูม่ ากมาย อันเป็ นลักษณะ
เฉพาะของดนตรี ไทยที่ไม่เหมือนกับดนตรี ของชาติใดในโลก แม้วา่ ในดนตรี ตะวันตกจะ
พบว่ามีการแต่งเพลงเลียนสำเนียงเพลงต่างประเทศอยูบ่ า้ ง แต่กม็ ีจำนวนไม่มากและไม่มีการ
กำหนดว่าเป็ นชุดของเพลงสำเนียงต่างประเทศ อย่างเพลงออกภาษาของไทย ดังนั้นลักษณะ
เช่นนี้กค็ ือลักษณะเฉพาะของดนตรี ไทย โดยแท้
เมื่อพิจารณาหาเหตุผลว่า เหตุใดดนตรี ไทยจึงมีลกั ษณะเช่นนั้นก็พบว่ามีปัจจัยอยู่
หลายประการแต่ปัจจัยประการแรกที่สำคัญที่สุด ก็ตอ้ งเป็ นเพราะคนไทยได้มีโอกาสได้
ประสบพบเห็น รับรู ้ และรู ้จกั วัฒนธรรมดนตรี จากต่างประเทศมากมาย จึงก่อให้เกิดการ
ซึมซับและผสมผสานแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกันขึ้นได้ นัน่ ก็คือลักษณะของ
สังคมไทยที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้ อชาติและวัฒนธรรมเป็ นปัจจัยประการแรกสุ ด
ที่ก่อให้การผสมผสานวัฒนธรรมในดนตรี ไทย
เมื่อศึกษาลักษณะของสังคมไทยตั้งแต่อดีตกาลแล้ว จะเห็นได้วา่ สังคมไทยมีความ
หลากหลายอย่างที่สุด ในสมัยดึกดำบรรพ์ดินแดนอันเป็ นที่ต้ งั ของประเทศไทยปัจจุบนั นี้
เป็ นที่อยูข่ องมนุษย์หลากหลายเผ่าพันธุ์ปะปนกันไป และต่อมาผูค้ นเหล่านั้นก็เริ่ มมีการ
ติดต่อกับต่างประเทศเริ่ มรับวัฒนธรรมจากชาวอินเดียและชาติอื่นๆ เมื่อผูค้ นในแถบนี้ เริ่ ม
สร้างบ้านสร้างเมืองเป็ นบึกแผ่นได้แล้ว ก็มีการติดต่อสัมพันธ์กบั ประเทศที่ห่างไกลมากขึ้น
และด้วยภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมดินแดนแถบนี้ จึงกลายเป็ นศูนย์กลางการติดต่อสัมพันธ์และ
การค้า ดังนั้นบริ เวณนี้ กค็ ือดินแดนแห่งความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม
ตั้งแต่ยคุ โบราณ
ในสมัยสุ โขทัย คนไทยก็มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายประเทศ ผูค้ นจึงรู ้จกั คุน้
เคยกับวัฒนธรรมต่างประเทศเป็ นอย่างดี ในสมัยกรุ งศรี อยุธยาไทยได้พฒั นาตนเอง
จนกลายเป็ นศูนย์กลางอำนาจทางเมืองของภูมิภาค ทำให้มีสงครามอันเป็ นเหตุให้เกิดการ
อพยพโยกย้ายผูค้ นอยูบ่ ่อยครั้ง และกรุ งศรี อยุธยายังเป็ นศูนย์กลายทางการค้านานาชาติ จึงมี
ชาวต่างชาติเดินทางมาค้าขายและตั้งถิ่นฐานจำนวนนับไม่ถว้ น หลักฐานต่างๆในสมัยกรุ ง
ศรี อยุธยาไม่วา่ จะเป็ นหลักฐานของไทยหรื อหลักฐานต่างประเทศ จึงให้ขอ้ มูลตรงกันว่ากรุ ง
ศรี อยุธยามีผคู้ นหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยูป่ ะปนกัน จนอาจกล่าวได้วา่ กรุ งศรี อยุธยาเป็ น
เหมือนนครนานาชาติ ต่อมาในสมัยรัตนโกสิ นทร์ ลักษณะเช่นนี้กย็ งั คงไม่เปลี่ยนแปลง
กรุ งเทพฯยังคงเป็ นเมืองที่ ประกอบไปด้วยประชากรหลากหลายเชื้ อชาติอาศัยอยูป่ ะปนกัน
และความหลากหลายนั้นได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วยตามความเปลี่ยนแปลงของบ้างเมือง ซึ่ง
คนไทยในสมัยรัตนโกสิ นทร์กร็ ับรู ้และเข้าใจลักษณะอันหลากหลายในบ้านเมืองของตน
เป็ นอย่างดี หลักฐานที่ชดั เจนที่สุดก็คือ ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการจารึ กโคลงภาพคนต่างภาษา
ไว้ที่วดั พระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งบรรยายลักษณะของชนชาติต่างๆไว้ถึง 32 ชนชาติ
แสดงให้เห็นว่าคนไทยในสมัยรัตนโกสิ นทร์รู้จกั คนเชื้ อชาติต่างๆมากมาย รวมทั้งรู ้จกั
ลักษณะเฉพาะของคนแต่ละเชื้อชาติเป็ นอย่างดี นี้ กค็ ือลักษณะของสังคมไทยที่เป็ นมาตั้งแต่
ในอดีต ดังนั้นจึงกล่าวได้วา่ สังคมไทยเป็ นพหุสงั คมโดยแท้
เมื่อสังคมไทยมีผคู้ นจากหลากหลายเชื้ อชาติอาศัยอยูป่ ะปนกัน แต่ละชนชาติยอ่ มนำ
วัฒนธรรมต่างๆของตนเข้ามาแล้วผสมผสานแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งรวมทั้งวัฒนธรรมดนตรี
ด้วย เพราะสังคมไทยนั้นเปิ ดกว้างทางวัฒนธรรม ดนตรี ของชนชาติต่างๆจึงมีโอกาส
สังสรรค์กนั อยูต่ ลอดเวลา โดยเฉพาะในสมัยกรุ งศรี อยุธยาจนถึงรัตนโกสิ นทร์ตอนต้น
ที่คนไทยมีธรรมเนียมว่า ในงานเฉลิมฉลองของหลวงจะต้องจัดให้มีมหรสพนานาชาติมา
แสดงร่ วมกันให้ครึ กครื้ น มหรสพของชาติต่าง ๆ จึงมีโอกาสได้แสดงร่ วมกันบ่อยครั้ง และ
ในเวลาต่อมามีโรงบ่อนซึ่งมีการจัดแสดงมหรสพนานาชาติ เช่นกัน จึงกล่าวได้วา่ ดนตรี ไทย
อยูท่ ่ามกลางบรรยากาศอันพิเศษ ที่ส่งเสริ มให้เกิดการสังสรรค์ทางดนตรี อย่างที่สุด
เมื่อมีวฒั นธรรมดนตรี ของชาติต่างๆอยูร่ ายล้อม คนไทยก็ยอ่ มมีกระบวนวิธีที่นำ
วัฒนธรรมเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ต่อคนตรี ของคนไทยเอง ซึ่งปรากฏชัดเจนว่าคนไทยใช้
วิธีการ “เลือกสรร” สิ่ งที่เหมาะสมที่สุด มาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย วัฒนธรรมดนตรี ต่าง
ประเทศประการแรกที่ผคู้ นในแถบนี้ รับเข้ามาตั้งแต่สมัยโบราณก็คือ เครื่ องเบญจดุริยางค์
ของอินเดีย ซึ่งในเวลานั้นผูค้ นในแถบนี้ กม็ ีวฒั นธรรมดีดสี ตีเป่ าของตนเองอยูแ่ ล้ว เชื่อว่า
ผูค้ นในเวลานั้นรับเข้ามาก็พร้อมๆกับการรับวัฒนธรรมอินเดีย และเป็ นการรับเพราะเหตุ
ทางศาสนาและการเมือง เพื่อประกอบคติการปกครองของอินเดียที่ผปู้ กครองในเวลานั้นนำ
เข้ามาใช้ คนไทยก็รับเอาเครื่ องมือเหล่านั้นมาใช้ดว้ ย และมีร่องรอยหลักฐานว่าผูค้ นใน
สมัยนั้น มีการนำเอาวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศที่รับเข้ามานั้น มาผสมผสานเข้ากับ
วัฒนธรรมดนตรี ของท้องถิ่น ต่อมาในสมัยสุ โขทัยมีหลักฐานชัดเจนว่า คนไทยได้นำเอา
เครื่ องดนตรี จากต่างประเทศเหล่านั้นมาผสมผสานเข้ากับเครื่ องประโคมอื่นๆที่มีอยูแ่ ล้ว ดัง
นั้นดนตรี อินเดียก็คือสิ่ งที่คนไทยเลือกรับเข้ามา และเป็ นวัฒนธรรมต่างประเทศชนิดแรกที่
คนไทย เลือกเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมดนตรี ที่มีอยูเ่ ดิม
ต่อมาในสมัยกรุ งศรี อยุธยา สภาพสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปวัฒนธรรมดนตรี ต ่าง
ประเทศได้ประเทศได้หลัง่ ไหลเข้ามามากขึ้น ตามสภาพของบ้านเมืองที่มีความหลากหลาย
ทางด้านเชื้อชาติมากขึ้น ในสมัยอยุธยาจึงปรากฏการรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศอย่าง
เด่นชัด เช่น เครื่ องดนตรี ต่างประเทศ กลองแขก แตรฝรั่ง กลองมลายู กลองชนะ และ เพลง
สำเนียงภาษา ซึ่งไม่แน่ชดั ว่าคนไทยจดจำเข้ามาทั้งหมดหรื อแต่งขึ้นใหม่ รวมทั้ง ความนิยม
ในมหรสพต่างประเทศ ซึ่งก็จะเห็นได้วา่ ในเวลานั้นแม้จะมีวฒั นธรรมดนตรี ต่างประเทศอยู่
มากมาย แต่คนไทยก็มิได้รับวัฒนธรรมต่างประเทศเข้ามาใช้ท้ งั หมด ยังคงเป็ นการเลือกบาง
อย่างเช่นเดิม
ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงกรุ งศรี อยุธยานั้น ไม่ปรากฏหลักฐาน เกี่ยวกับ ศิลปิ น ครู
ดนตรี ผสู้ ร้างสรรค์งานดนตรี ในเวลานั้นเลย เราจึงไม่อาจวิเคราะห์ถึง ความคิด และวิธีการ
สร้างสรรค์ของศิลปิ นในสมัยนั้นได้มากนัก แต่เป็ นที่ชดั เจนว่าคนไทยในสมัยนั้น ได้ใช้วิธี
การเลือก วัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศ ที่เหมาะสมมาปรับใช้โดยตลอด
เมื่อถึงสมัยรัตนโกสิ นทร์ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการรับวัฒนธรรมดนตรี ต่าง
ประเทศได้เพิ่มขึ้นมาก และลักษณะการรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศในสมัย
รัตนโกสิ นทร์จะแปรเปลี่ยนไปตามการพัฒนาของบ้านเมือง กล่าวคือเมื่อบ้านเมืองเจริ ญมาก
ขึ้นมีวฒั นธรรมต่างประเทศหลัง่ ไหลเข้ามามากขึ้น การรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศก็ยงิ่
มีเพิม่ มากขึ้น ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ตอนต้นช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจุฬา
โลก จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เริ่ มปรากฏการแสดงล้อเลียน
ชาติภาษาต่างๆและมีเพลงออกภาษา ในงานพิธีของราชสำนักก็นิยมจัดมหรสพนานาชาติ จึง
เชื่อได้วา่ การแสดงออกถึงวัฒนธรรมต่างประเทศในการบรรเลงดนตรี หรื อ ในการแสดง
มหรสพ เป็ นค่านิยมและความนิยมชมชอบของคนในสมัยนั้น แต่ในเวลานี้ ดนตรี ยงั ไม่มีการ
พัฒนาเปลี่ยนแปลงมากนัก อาจเป็ นเพราะศิลปิ นยังคงยึดถือธรรมเนียมประเพณี ของราช
สำนักที่มีความเคร่ งครัด ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั ละครผูห้ ญิง
และศิลปะแบบหลวง ซึ่งเป็ นแบบแผนของราชสำนัก ได้แพร่ หลายออกจากวังหลวงไปยัง
วังเจ้านาย และบ้านขุนนาง แบบแผนธรรมเนียมอันเคร่ งครัดของศิลปะแบบหลวงจึงได้ผอ่ น
คลายลง ดนตรี ไทยจึงเริ่ มมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชดั และการผสมผสานวัฒนธรรม
ดนตรี กม็ ีมากขึ้นในสมัยนี้จึง มีเพลงสำเนียงภาษามากขึ้นและมีการแสดงล้อเลียนภาษาต่างๆ
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั บ้านเมืองมีความเจริ ญขึ้นมีการติดต่อ
สัมพันธ์กบั ต่างประเทศมากขึ้น และพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้ประชาชนมีละครผูห้ ญิงได้
โดยเสรี ส่ งผลให้ดนตรี และมหรสพเฟื่ องฟูข้ ึนมาก และดนตรี มีการพัฒนาหลายประการ ซึ่ง
การพัฒนาของดนตรี ในสมัยนี้ ลว้ นมีอิทธิพลจากวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศอยูท่ ้ งั สิ้ น ไม่
ว่าจะเป็ น การประดิษฐ์ระนาดเหล็ก วงเครื่ องสายปี่ ชวา วงปี่ พาทย์นางหงส์ วงปี่ พาทย์มอญ
หรื อ ความนิยมในการเล่นแอ่วลาว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั
เนื่องจากการมหรสพและการประชันดนตรี เฟื่ องฟูมาก จึงส่ งผลให้มีการคิดประดิษฐ์เพลง
สำเนียงภาษาต่างๆมาใช้ประกอบการแสดง และแข่งขันกันจดจำเพลงสำเนียงแปลกๆมา
บรรเลงประชันกัน ทำให้มีเพลงสำเนียงภาษาเกิดขึ้นมาก และการที่ในสมัยนี้ มีการติดต่อ
สัมพันธ์กบั ต่างประเทศมากขึ้น ศิลปิ นได้รู้ได้เห็นสิ่ งแปลกใหม่จากต่างประเทศมากขึ้น จึง
จดจำสิ่ งเหล่านั้นมาเป็ นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ดนตรี จึงมีดนตรี ชนิดใหม่เกิดขึ้น
เช่น ปี่ พาทย์ดึกดำบรรพ์ และเครื่ องดนตรี ชวา คืออังกะลุง ในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั ประเทศไทยเริ่ มพัฒนาประเทศในแนวทางตะวันตก วัฒนธรรม
ตะวันตกแพร่ หลายในสังคมไทยมากขึ้น จึงส่ งผลให้เกิด วงเครื่ องสายผสม ขึ้นในรัชกาลนี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยูห่ วั แม้บา้ นเมืองจะประสบปัญหาเศรษฐกิจ แต่
ดนตรี กย็ งั เจริ ญดีอยูแ่ ละมีการรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศเข้ามาผสมผสานในดนตรี
ไทยเพิม่ เติม จากการประดิษฐ์ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ คือ ปี่ พาทย์ชวา และเพลงจากเขมร
แสดงให้เห็นว่าไม่วา่ สถานการณ์บา้ นเมืองจะเป็ นอย่างไรศิลปิ นก็ยงั คงสร้างสรรค์ผลงาน
ดนตรี อยูโ่ ดยตลอด และสิ่ งที่สำคัญก็คือการรับและการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ต่าง
ประเทศในดนตรี ไทย ได้เกิดขึ้นโดยตลอดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปหรื อลดทอนลงไปเลย
ไม่วา่ จะอยูใ่ นช่วงเวลาใดก็ตาม
การรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศในช่วงแรกนั้นอาจเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ
เนื่องจากได้ศิลปิ นได้ยนิ ได้ฟังเพลงต่างประเทศจากชาวต่างชาติที่อาศัยอยูใ่ นบ้านเมือง แต่
ในยุคหลังนั้น การรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศมิใช่ความบังเอิญ แต่เป็ นความตั้งใจของ
ศิลปิ น หรื อกลายเป็ นธรรมเนียม ดังจะเห็นได้วา่ มีศิลปิ นหลายท่านความพยายามแสวงหา
และจดจำวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศมาเป็ นวัตถุดิบหรื อแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์
ดนตรี อยูเ่ สมอ เช่น ครู มีแขก จดจำเพลงจีนมาประดิษฐ์เพลงสำเนียงจีน หลวงประดิษฐ์
ไพเราะไม่วา่ จะเดินทางไปที่ใด ก็จะจดจำสำเนียงของชาติน้ นั มาสร้างสรรค์ดนตรี เพลงของ
หลวงประดิษฐ์ไพเราะจึงมีสำเนียงทุกชาติทุกภาษา การประชันดนตรี จะต้องแข่งขันกันออก
ภาษาต่างๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถ เป็ นต้น แสดงให้เห็นว่า การจดจำวัฒนธรรม
ต่างประเทศมาใช้ในการสร้างสรรค์บทเพลง เป็ นแนวทางในการสร้างสรรค์ดนตรี ของ
ศิลปิ นในสมัยนั้น ซึ่งแนวทางเช่นนี้ได้รับการสื บทอดเรื่ อยมา ในสมัยปัจจุบนั ยังคงมีศิลปิ น
ดนตรี ไทยที่สร้างสรรค์บทเพลงเป็ นสำเนียงภาษาต่างๆ แสดงให้เห็นว่าการสร้างสรรค์
ดนตรี ในลักษณะนี้ เป็ นธรรมเนียมของดนตรี ไทยอย่างหนึ่ง
แม้วา่ จะมีการรับวัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศเข้ามามากมาย แต่การผสมผสาน
วัฒนธรรมดนตรี ที่เกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสิ นทร์น้ นั จะเห็นได้วา่ เกิดขึ้นจากการประดิษฐ์
คิดค้น กลัน่ กลอง สร้างสรรค์ของคนไทยแทบทั้งสิ้ น เช่น เพลงภาษาต่างๆคนไทยก็จะใช้
วิธีจดจำแล้วแต่งขึ้นใหม่ให้เป็ นเพลงไทย การประดิษฐ์วงดนตรี ชนิดใหม่ คนไทยก็จะ
เลือกสรร เครื่ องดนตรี และแบบแผนการบรรเลงที่เหมาะสมที่สุด แล้วทดลองจนกว่าจะได้
วงดนตรี ที่มีความไพเราะสมบูรณ์ที่สุด สามารถใช้งานตามที่ตอ้ งการ แม้ว า่ จะได้รับแนว
ความคิดเริ่ มแรกมาจากต่างประเทศ แต่กค็ ือวงดนตรี แบบไทยโดยแท้ ดังนั้นในการรับ
วัฒนธรรมดนตรี ต่างประเทศของคนไทย ส่ วนใหญ่แล้วคนไทยจะนำมาดัดแปลงให้เป็ น
แบบไทยเกือบทั้งหมด จะมีเพียงบางส่ วนเท่านั้นที่เป็ นการรับเข้ามาโดยตรง หรื อยังคงรู ป
แบบเดิมไว้ดว้ ยเหตุผลในการใช้งานบางอย่าง เช่นเพลง “พญาเดิน” ที่ สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ เจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์ เห็นว่าเป็ นเพลงจีนทีเดียว199 ซึ่งนี้ กค็ ือกระบวน
วิธีในการสร้างสรรค์ดนตรี ของคนไทย ที่ปฏิบตั ิมาโดยตลอด
วัฒนธรรม จึงเป็ นสิ่ งที่เคลื่อนย้ายถ่ายเทกันได้ระหว่างชนชาติ คนไทยรับวัฒนธรรม
ดนตรี จากต่างประเทศเข้ามามากมาย ไม่เพียงแต่ดนตรี เท่านั้นแต่เป็ นทุกๆเรื่ องไม่วา่ จะเป็ น
วัฒนธรรมอันใดคนไทยสามารถนำมาปรับปรุ งให้เป็ นอย่างไทยได้ท้ งั สิ้ น ความมีจิตใจ
กว้างขวางจึงเป็ นลักษณะของคนไทยโดยแท้ อย่างไรก็ตามคนไทยมิได้รับวัฒนธรรมจาก
ต่างชาติแต่เพียงฝ่ ายเดียว ในขณะเดียวกันต่างชาติกร็ ับวัฒนธรรมจากไทยไปเช่นกัน เช่นใน
คราวที่ไทยเสี ยกรุ งครั้งที่ 2 นักแสดงและนักดนตรี ไทยที่มีฝีมือได้ถูกกวาดต้อนกลับไปพม่า
เป็ นจำนวนมาก นักดนตรี เหล่านั้นได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมของไทยให้แก่ชาวพม่าจนปรากฏ
199
สมเด็จเจ้าฟ้ ากรมพระยานริ ศรานุวดั ติวงศ์, สาส์นสมเด็จเล่ม 5, หน้า 257.
เป็ น ปี่ พาทย์โยเดีย และ ระบำโยเดีย ดังที่มีอยูใ่ นพม่าปัจจุบนั 200 แต่แน่นอนว่าเมื่อพม่ารับไป
ก็ไปดัดแปลงเป็ นอย่างพม่า จึงมีลกั ษณะไม่เหมือนละครไทยแล้ว แต่กย็ งั คงเรี ยกว่า รำโยเดีย
การรับและผสมผสานวัฒนธรรมดนตรี ที่เกิดขึ้นในดนตรี ไทย จนทำให้ดนตรี ไทยมี
ลักษณะที่หลากหลายนั้น นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงลักษณะพหุสงั คมของสังคมไทย และ
บรรยากาศของบ้านเมืองแล้ว ยังได้สะท้อนถึงลักษณะของศิลปิ นไทยว่า เป็ นผูม้ ีจิตใจที่เปิ ด
กว้าง ยอมรับวัฒนธรรมดนตรี ของผูอ้ ื่นโดยไม่นึกรังเกียจไม่วา่ จะเป็ นดนตรี ของชาติใด
ก็ตาม พร้อมทั้งมีความสามารถในการสังเกต จดจำ และ มีจิตวิญญาณของศิลปิ น
ที่คิดสร้างสรรค์อยูต่ ลอดเวลา ดังที่ นาย ฉุน ประภาวิวฒั น์ ได้กล่าวถึงลักษณะนิสยั ของ
ศิลปิ นไทยว่า
. . . คนไทยใจกว้างมาก แม้ในทางดนตรี เราก็ใจกว้างของใครดีเราก็ดึงเอามา
เช่น เขมรพวง พม่าเห่ แขกหนัง ลาว จีน ญวน และทยอย แม้เครื่ องดนตรี ก็
เช่นเดียวกัน เช่น ขิม และซอด้วงจากจีน กลองแขก จากแขก และกลองยาว
จากพม่า แสดงว่าไทยใจกว้างมิได้กีดกันจำกัดแต่ของไทยแท้ และข้อนี้ แสดง
ให้เห็นด้วยว่าดนตรี ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีแก่มวลมนุษย์ . . .201
ดังนั้น ลักษณะของดนตรี ไทยในปัจจุบนั จึงเป็ นหลักฐานที่บ่งบอกถึง ลักษณะ
พหุสงั คมของสังคมไทยในอดีต ที่มีความหลากหลาย และมีการผสมผสานปะปนกัน
ทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรมได้เป็ นอย่างดี เพราะถ้าหากว่าสังคมไทยไม่มีความหลาก
หลายทางด้านวัฒนธรรมแล้ว ดนตรี ไทยย่อมไม่สามารถมีพฒั นาการในลักษณะเช่นนี้ได้
สังคมไทยจึงเป็ นสังคมที่มีการผสมผสานเชื้ อชาติและวัฒนธรรมเข้ากันอย่างลึกซึ่ง จนอาจ
กล่าวได้วา่ ไม่มีใครเป็ นไทยแท้ หรื อความเป็ นไทยนั้นก็คือความหลากหลายนัน่ เอง และยัง
สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของคนไทย ที่มีจิตในเปิ ดกว้างยอมรับวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ
ด้วยความยินดีจึงสะท้อนออกมาในลักษณะของดนตรี ไทยเช่นนี้
200
สุ เนตร ชุตินธรานนท์, บรรณาธิการ, พม่ าอ่ านไทย (กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน,
2542), หน้า 177.
201
ฉุน ประภาวิวฒั น์, ดนตรี กบั ความเข้าใจอันดีระหว่างมนุษย์ ใน เอกสารอบรมทาง
วัฒนธรรม จัดโดยคณะกรรมการฝ่ ายวัฒนธรรมว่ าด้ วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และ
วัฒนธรรม แห่ ง สหประชาชาติ ระหว่ างวันที่ 23-31 สิ งหาคม 2511 (กรุ งเทพฯ: , ม.ป.ท.,
2511), หน้า 148.
บรรณานุกรม
หลักฐานชั้นต้ น
กฏหมายตรา ๓ ดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง เล่ ม ๑
(ปรับปรุ งใหม่). กรุ งเทพฯ: สุ ขภาพใจ, 2548.
กรมศิลปากร, จารึกในประเทศไทยเล่ ม 1 อักษรปัลลวะหลังปัลลวะพุทธศตวรรษที่ 12-14.
กรุ งเทพฯ: หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปาการ, 2529.
กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุ โขทัย.กรุ งเทพฯ: กรมศิลปากร, 2527.
กองจดหมายเหตุแห่งชาติ ศธ.0701.29/22 เอกสารกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ
“ระเบียบการกรมสิ ลปากรว่ าด้วยการขออนุญาตและควบคุมการบรรเลงดนตรี
ประกอบการสแดงละคร”
คำให้ การชาวกรุงเก่ า คำให้ การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่ า ฉบับหลวง
ประเสริฐอักษรนิต์ิ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์คลังวิทยา, 2515.
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ . ประชุมหมายรับสั่ งภาคที่ ๑
สมัยกรุงธนบุรี. กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2523.
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ . ประชุมหมายรับสั่ ง ภาคที่ ๒
สมัยกรุงรัตนโกสิ นทร์ . กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2525.
คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ . ประชุมหมายรับสั่ งภาค ๔
ตอนที่ ๒ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้ าเจ้ าอยู่หัว จ.ศ.
๑๒ o ๓-๑๒ o ๕. กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี , 2537.
จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี (พ.ศ. 2310- 2381) และ พระราช
วิจารณ์ ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ าเจ้ าอยู่หัว. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุ งเทพฯ:
ม.ป.ท., 2526; (พิมพ์พระราชทานในงานพระราชทานเพลิงศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าวาปี บุษบากร ณ เมรุ หน้าพลับพลาอิศริ ยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2526).
จอห์น เบาว์ริง. ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม เล่ ม 1. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ กัณฐิกา
ศรี อุดม,บรรณาธิการ, (กรุ งเทพ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย , 2547.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. บรรณาธิการ. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ:
มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, 2548.
ตาชารด์. จดหมายเหตุการ เดินทางสู่ ประเทศสยามของบาทหลวงตาชารด์ . แปลโดย
สันต์ ท. โกมลบุตร พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุ งเทพ: สำนำพิมพ์เกษมบรรณกิจ, 2519.
ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 1 ฉบับ
โรงเรียนสวนกุหลาบ. กรุ งเทพฯ: ม.ป.ท, 2538 (ที่ระลึกวันครบรอบวันสิ้ นพระชนม์
ปี ที่ 52 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ 1 ธันวาคม 2538).
________. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ ๓ เล่ ม ๑. กรุ งเทพ: คุรุสภา, 2504.
________. พระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 4. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา,
2521.
นิโกลาส์ แชรแวส. ประวัติศาสตร์ ธรรมชาติและการเมืองแห่ งราชอาณาจักรสยาม, แปลโดย
สันต์ ท. กมลบุตร. กรุ งเทพฯ: สำนักพิมพ์กา้ วหน้า, 2506.
ประชุมพงศาวดารภาค 27 พงศาวดารเรื่องฝรั่งเศสกับไทย. กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของ
คุรุสภา, 2506.
ประชุมพงดารภาคที่ 31 จดหมายเหตุเรื่องมิชชันนารีอเมริกนั เข้ ามาในประเทศไทย.
กรุ งเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2508.
มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์. เล่ าเรื่องกรุงสยาม, แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร, พิมพ์ครั้งที่ 3.
นนทบุรี: สำนักพิมพ์ศรี ปัญญา, 2549.
ลา ลูแบร์ . ราชอาณาจักรสยาม. แปลโดย สันต์ ท.กมลบุตร, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุ งเทพฯ:
สำนักพิมพ์ศรี ปัญญา, 2548.
วินยั พงศ์ศรี เพียร. บรรณาธิการ, กฎมณเฑียรบาล ฉบับเฉลิมพระเกียรติ ผลงานวิจัย.
กรุ งเทพฯ: โครงการวิจยั เมธีวิจยั อาวุโส สกว, 2548
หลักฐานชั้นรอง
1. หนังสื อทั่วไป
2. บทความ
สุ จิตต์ วงษ์เทศ. “ลิเกมาจากไหน รำมะนา ออกภาษา เพลงนานาชาติ ก่อนเป็ นลิเก ยีเ่ ก,”
มติชนรายสั ปดาห์ ฉบับที่ 1370 (17-23 พฤศจิกายน 2549): 78
3. วิทยานิพนธ์
วิมาลา ศิริพงษ์. “การสื บทอดวัฒนธรรมดนตรี ไทยในสังคมไทยปัจจุบนั ศึกษากรณี สกุล
พาทยโกศลและสกุลศิลปะบรรเลง,” วิทยานิพนธ์สงั คมวิทยาและมานุษยวิทยา
มหาบัณฑิตสาขามานุษยวิทยา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,2534.
อารดา สุ มิตร. “ละครในของหลวงในสมัยรัชกาลที่ 2,” วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตร์
มหาบัณฑิตแผนกวิชาภาษาไทย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2516.
4. สารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์