Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
นิวแมติกส Pneumatic
1.1 ประวัติความเปนมาของนิวแมติกส
นิวแมติกสมาจากคําศัพทภาษากรีกวา “Pneuma” หมายถึงหายใจหรือลม แตในปจจุบัน
หมายถึง การนําลมอัดไปใชกับเครื่องจักรกลในงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการนํามาใชขับเคลื่อน
และควบคุมอุปกรณ หรือเครื่องจักรกลตาง ๆ ที่ใชลมเปนตนกําเนิดกําลังในการทํางาน โดยประวัติ
ความเปนมาของนิวแมติกสนั้นมีมาพอสังเขปดังนี้
ศตวรรษที่ 8 - 9 แบลส ปาสคาล(Blasise Pascal) , ออตโต วอน เกอรรกิ (Otto von
Guericke) และ เดนนิส พาพิน(Denis Papin) เปนผูปทู างในสาขานิวแมติกสและไฮดรอลิกส และมีผู
นิยมใชกังหันน้ํากันอยางแพรหลาย นอกจากนัน้ ยังใชขับเคลื่อนกลไกในลักษณะการหมุนแขนแบบ
โรตารี่ เพื่อเปนคันสงบังคับการเคลื่อนที่ไปมาดวย
ศตวรรษที่ 12 ในยุโรปนิยมการใชกงั หันลมในโรงสี
ศตวรรษที่ 16 กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) ไดศึกษาเกี่ยวกับการสรางสุญญากาศ
วิศวกรเหมืองแรมกี ารใชปมที่สามารถดูดน้ําไดสูงไดประมาณ 10 เมตร
ป ค.ศ. 1643 เอวันเยลิสตา ตอรรีเซลลี (Evangelista Torricelli) และวินเซนซิโอ
วิเวียนิ (Vincenzio Viviani) ไดคนพบวาปรอทมีความหนาแนนมากกวาน้ํา 14 เทา
ป ค.ศ.1663 ปาสคาลไดตีพิมพหนังสือ Traitez de l’ Eqilibre de liqueurs ในกรุง
ปารีส ซึง่ เปนหลักการของเครื่องไฮดรอลิกส “ก็เหมือนการเอาน้ําบรรจุภาชนะที่ชองเปด 2 ทาง โดยชอง
หนึง่ ใหญกวาอีกชองหนึง่ 100 เทา ชองเปดใหญนี้มีลูกสูบที่ขนาดพอดีกับที่จะชักใหผานได สวนลูกสูบ
ตัวเล็กเปนตัวที่ใหคนดึงได ในลักษณะนี้ผชู ักจะมีแรงเทียบเทากับ 100 คน”
1
ป ค.ศ.1672 เกอรริกเปนวิศวกรชาวเยอรมนี ไดเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรูเกีย่ วกับธรรมชาติและ
คุณสมบัติของอากาศ เขาไดกลาววา “อากาศมีลักษณะเปนกึง่ รูปราง จะขยายตัวเมือ่ ไดรับความรอน
และหดตัวเมื่อไดรับความเย็น ซึง่ สามารถถูกอัดได (ควบแนน) การอัดอากาศใหหนาแนนและเจือจางมี
ขอบเขตของมัน อากาศอัดจะออกแรงกดตอทุกสิ่งรอบ ๆ ตัว แรงกดของอากาศเทากับแรงกดของลําน้ํา
ที่สูง 20 Ellen (หนวยวัดความยาวของยุโรปสมัยโบราณ = 45 นิว้ )” ดังแสดงในรูปที่ 1.4 จากความรูนี้
เปนแนวความคิดในการสรางปมลม
ศตวรรษที่ 17 มีนักคนควาจํานวนมากเริ่มสนใจและคนควาเกี่ยวกับนิวแมติกส และไฮดรอ-
ลิกส เกี่ยวกับสมมุติฐานการใชลมดูดและลมอัดเชนเดียวกับการใชน้ําอัด มีการเขียนรายงานทาง
วิทยาศาสตรเกี่ยวกับระบบการขนสงคนและสิ่งของดวยนิวแมติกส ยังมีการคิดคนเครื่องจักรกลที่ใชลม
ป ค.ศ. 1709 อัฟเฟนบาชไดบรรยายเกี่ยวกับลิฟตใชงานยืดออกไดดวยลมทีห่ อดู
ดาวคารล ในเมืองคาสเซลประเทศเยอรมนี
ศตวรรษที่ 19 พาพินไดบรรยายสิ่งที่เขาคนพบคือ เครื่องระบายอากาศดวยแรงเหวี่ยง
(Centrifugal ventilator) ซึ่งทํางานคลายกับเครื่องสูบน้ําโดยใชแรงเหวีย่ ง (Centrifugal pump)
1.2 หนวยทางฟสิกสที่ใชในนิวแมติกส
หนวยวัดในระบบ System International d’ Unites (SI) ประกอบดวยหนวยวัดพื้นฐานดัง
แสดงในรูปที่ 1.2
หนวย หนวยวัด
มวล กิโลกรัม (kg)
เวลา วินาที (s)
อุณหภูมิ องศาเคลวิน (K)
ความยาว เมตร (m)
กระแสไฟ แอมแปร (A)
แสงสวาง แคนเดลา (cd)
สสาร โมล (mol)
¾ หนวยแรง (Force)
แรง (F) = มวล(m) X อัตราเรง(a) หนวยวัด นิวตัน (N = kgm/s2 )
ถามวล 1 kg นํามาแทนแรงบนโลก = 1 kgf (กิโลกรัมแรง ) = 9.81 N (kgm/s2 )
2
¾ หนวยความดัน(pressure)
ความดัน (p) = แรง (F) / พื้นที่ (A)หนวยวัด ปาสคาล ( Pa )
N kg - m
Pa = =
m2 S 2 •m 2
Psi = pound per square inch (หนวยวัดความดันของอังกฤษ)
1 psi = 7000 Pa = 0.06895 bar
Bar = หนวยวัดความดันของ (SI)
1 bar = 105 Pa = 14.5 psi = 1.01972 kgf/cm2
3
1.3 คุณสมบัติทางฟสิกสและกฎของลม
อากาศที่นาํ มาใชในระบบนิวแมติกสประกอบดวย ไนโตรเจน (nitrogen) ประมาณ 78 % โดย
ปริมาตร ออกซิเจน ประมาณ 21 % โดยปริมาตร และสวนประกอบอื่น ๆ ดังนี้ คารบอนไดออกไซด
(Carbon-dioxide), อารกอน (argon) , ไฮดรอเจน (hydrogen) , นีออน (neon) , ฮีเลียม (helium) ,
ครีพตัน (krypton) และสวนประกอบของไอน้ํา อากาศประกอบดวยอณูเล็ก ๆ มีอะตอมเชื่องโยงกัน
เปนคู ๆ คลายลูกบอล อากาศ 1 cm3 ประกอบดวย 27 x 1018 อณู
¾ กฎของปาสคาล (กฎสงผานความดัน)
B. Pascal(ชาวฝรั่งเศส ระหวางป ค.ศ. 1623-1662) ไดทําการทดลองพิสูจนกฎปาสคาลซึ่ง
เกี่ยวกับการสงผานความดันสถิต หรือความดันที่ไมเคลือ่ นที่ (Static pressure) กฎนี้กลาววา
“ความดันที่กระทําตอสวนหนึ่งสวนใดของของไหลที่อยูน งิ่ ในภาชนะปด จะกระทําตอทุกสวน
ของภาชนะในแนวตั้งฉาก”
จากรูปที่ 1.4 ในกรณีที่ลกู สูบมีพนื้ ทีห่ นาตัด A1 (cm2 ) และ A2 (cm2 ) ถามีแรง F1 หรือ
น้ําหนัก W1 (kgf) กระทําบนลูกสูบ A1 แลวจะเกิดแรงถายเท W2 (kgf) หรือ F2 ขึ้นที่ลูกสูบซึ่งมี
พื้นที่หนาตัด A2 ดังแสดงในรูปที่ 1.4
¾ กฎของบอยล
R. Boyle (ชาวอังกฤษ ระหวางป ค.ศ. 1627-1691) เปนผูคิดคนกฎของบอยลโดยกลาววา
“ถากดลูกสูบในกระบอกซึง่ มีกาซบรรจุอยูภ ายใน ปริมาตรกาซจะลดลงในขณะที่ความดัน
กาซเพิ่มขึ้น ” กลาวอีกนัยหนึ่งวา “ ณ อุณหภูมิคงที่ ปริมาณกาซจะเปลี่ยนแปลงเปนอัตราสวนผกผัน
กับความดันกาซนัน้ ดังแสดงในรูปที่ 1.5
4
¾ กฎของชารลส
กฎของชารลสกลาววา “คาความดันอากาศคงที่คา หนึง่ ปริมาตรของอากาศจํานวนหนึง่ จะ
แปรผันเปนสัดสวนกับอุณหภูมิสัมบูรณของอากาศ” หมายความวา เมื่ออากาศจํานวนหนึ่งซึ่งมี
ปริมาตร V1 และอุณหภูมิ T1 ถูกทําใหรอนขึ้นหรือถูกทําใหเย็นลงทีอ่ ุณหภูมิ T2 ภายใตความดันคงที่
ปริมาตรอากาศจะเปลี่ยนแปลงเปน V2 ตามความสัมพันธดังแสดงในรูปที่ 1.6
5
รูปที่ 1.8 แสดงความดันทีจ่ ุดตาง ๆ ของทอที่มีความเร็วไมเทากัน
¾ ความดันอากาศและการเปลี่ยนแปลงความเร็ว
ความเร็วและความดันมีความสัมพันธกันอยางใกลชิด สามารถแสดงใหเห็นไดจากการ
ทดลองดังนี้ คือ เมือ่ อากาศไหลผานหลอดแกวที่มีลักษณะปากรูปกรวยทรงกลมเรียวและคอดที่
กึ่งกลางดังรูปที่ 1.8 นําหลอดแกวรูปตัวยูติดเขากับสวนตาง ๆ ของหลอดแกวทดลอง ความดันนอย
ที่สดุ จะเกิดขึน้ ที่บริเวณคอคอดที่เล็กที่สุด
พลังงานความดัน (pressure energy) แฝงอยูในรูปของความดันสัมบูรณ (Pabs)
พลังงานจลน (kinetic energy) แฝงอยูในรูปของความเร็ว( V)
ดังนั้น พลังงานความดัน + พลังงานจลน = คงที่
1.5 การนํานิวแมติกสมาประยุกตในอุตสาหกรรม
ในปจจุบันระบบนิวแมติกสไดแพรหลายในอุตสาหกรรมอยางมาก เนื่องจากระบบที่ใชอุปกรณ
นิวแมติกสนั้นงายตอการใชงานและซอมบํารุง รวมทั้งมีราคาไมแพงและยังนิยมนํามาใชในเครื่องจักร
อัตโนมัติและเครื่องจักรกลทันสมัยมากมาย แสดงตัวอยางการใชงานนิวแมติกสในอุตสาหกรรมดังนี้
6
¾ ขอดีของลมอัด
1 ทนตอการระเบิด ลมอัดไมมีอันตรายจากการระเบิดหรือติดไฟ อุปกรณราคาไมแพง
2. รวดเร็ว ลูกสูบมีความเร็วในการทํางาน 1 ถึง 2 m/s ถาเปนลูกสูบแบบพิเศษสามารถให
ความเร็วในการทํางานไดถงึ 10 m/s
3. การสงถายงาย สามารถเดินทอลมอัดในระยะทางไกลได และลมอัดที่ใชแลวไมตอง
นํากลับ สามารถปลอยทิง้ ออกสูบรรยากาศไดเลย (เปนระบบเปด)
4. การเตรียมและเก็บรักษาไดงา ย สามารถอัดเก็บไวในถังลม เพื่อนําไปใชงานไดตอเนื่อง
5. ความปลอดภัย อุปกรณที่ใชกับระบบลมอัดจะไมเกิดการเสียหายจากงานที่เกินกําลัง
6. ควบคุมอัตราความเร็วไดงาย โดยใชวาลวควบคุมอัตราการไหลของลมอัด
7. การควบคุมความดัน ความดันของลมอัดที่ตองการสามารถควบคุมไดงาย โดยใชวาลว
ควบคุมความดัน
8. สะอาด ลมอัดมีความสะอาดทําใหอปุ กรณเครื่องใชสะอาดหมดจด
9. โครงสรางงายตอการใชงานและดูแล
¾ ขอเสียของลมอัด
1. ลมอัดสามารถอัดตัวได ทําใหการเคลือ่ นที่ของอุปกรณไมสม่ําเสมอ
2. ลมอัดมีความชื้น เมื่อเย็นตัวจะเกิดการกลั่นตัวของหยดน้ําในถังเก็บลมและทอลม
3. ลมอัดตองการเนื้อที่มาก เมื่อตองการใชแรงมากตองใชกระบอกสูบที่ขนาดใหญ
4. ลมอัดมีเสียงดัง เมื่อมีการระบายลมออกจากอุปกรณทํางาน จําเปนตองใชตัวเก็บเสียง
(Silencer)
5. ความดันของลมอัดเปลี่ยนแปลงได โดยความดันของลมอัดจะเพิม่ ขึ้นและลดลง เมื่อ
อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง
1.6 เครื่องอัดอากาศ
เครื่องอัดอากาศ (Compressor) มีหนาที่อัดอากาศจากความดันปกติ หรือ ความดัน
บรรยากาศใหมีความดันสูงขึ้นตามความตองการ การเลือกใชเครื่องอัดอากาศชนิดตาง ๆ จะขึน้ อยูกับ
ลักษณะการใชงาน โดยพิจารณาจากความดันใชงานและปริมาณการจายลมอัดสําหรับอุปกรณทั้ง
ระบบ เครื่องอัดอากาศสามารถแบงเปน 2 กลุม คือ
1.6.1 เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ (Piston compressor)
ทํางานโดยการอัดอากาศทีบ่ รรจุในกระบอกสูบใหมีปริมาตรนอยลงทําใหความดัน
เพิ่มขึ้น กอนสงไปเก็บภายในถังบรรจุความดัน ซึง่ สามารถผลิตความดันใชไดตั้งแตความดันต่ําถึง
ความดันสูง และเปนที่นยิ มใชกันในงานอุตสาหกรรมทั่วไป แสดงลักษณะการทํางานดังรูปที่ 1.9
7
รูปที่ 1.9 แสดงเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบอัด
8
รูปที่ 1.11 แสดงเครื่องอัดอากาศแบบไดอะแฟรม
9
¾ เครื่องอัดอากาศแบบสกรู (two-axle screw compressor)
เครื่องอัดอากาศชนิดนีม้ ีเพลาอยูสองแกน เพลาตัวหนึ่งมีสกรูซึ่งมีสนั ฟนนูน และเพลาอีกตัว
จะมีสกรูทมี่ ีฟน เวา สกรูทงั้ สองประกอบอยูภายในเรือนเดียวกันและวางขบกันอยู โดยมีทิศทางการ
หมุนเขาหากันดังรูปที่ 1.12 (ข) ทําใหสามารถอัดอากาศจากดานหนึง่ ไปสูอีกดานหนึง่ ได
¾ เครื่องอัดอากาศแบบกังหัน
ใชหลักการอัดอากาศดวยกังหันใบพัด นิยมใชกับงานที่ตองการอัดอากาศที่มีปริมาณมาก ๆ
ความเร็วของลมที่ถกู ดูดไหลผานใบพัดเปลี่ยนจากพลังงานจลนเปนพลังงานลมอัด แบงออกไดตาม
ลักษณะการสรางดังนี้
แบบลมไหลตามแกนเพลา (axial – flow compressor) ดังรูปที่ 1.13 (ก)
แบบลมไหลวนรอบกังหัน (radial – flow compressor) ดังรูปที่ 1.13 (ข)
10
(ก) เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบขนาดเล็ก (ข) เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ
ขับดวยมอเตอรไฟฟา 0.25 ถึง 1.5 kW แบบอัด 2 ขั้นหลอเย็นดวยอากาศ
11
ในการเลือกเครื่องอัดอากาศและถังเก็บลมสําหรับใชงานนั้นขึน้ อยูกับปริมาณของลมอัดที่
ตองการและขึน้ อยูกับชนิดของการติดตั้ง อาทิเชน ลักษณะการติดตั้งแบบถาวรและแบบเคลื่อนยายได
ดังแสดงในรูปที่ 1.16 และ 1.17 ความดันใชงานปกติ( working pressure) สําหรับงานทัว่ มีคา
ประมาณ 6 bar
- แบบเคลื่อนยายได เครื่องอัดอากาศและถังเก็บลมและอุปกรณชวยอื่น ๆ ถูกออกแบบ
รวมเปนชุดเดียว หรือติดตั้งภายในเครื่องจักรทีม่ ีสามารถเคลื่อนยายได ปริมาณการผลิตลมอัดมี
ขีดจํากัด เพื่อใหขนาดชุดผลิตลมอัดมีขนาดเล็กและสามารถเคลื่อนยายไดสะดวกดังรูปที่ 1.16
12
1.6.3 วิธีการทําใหอากาศแหง
เนื่องจากอากาศที่ถกู เพิม่ ความดันจากเครื่องอัดอากาศจะมีอุณหภูมสิ ูงและมีไอน้าํ
ปะปนอยู เมือ่ ระยะเวลาผานไปไอน้าํ จะเย็นตัวลงและกลั่นตัวเปนหยดน้ําที่อุณหภูมิหอง ดังนัน้ จําเปน
ที่จะตองกําจัดน้ําที่อยูในลมอัดกอนการใชงาน วิธกี ารที่นยิ มใชงานแสดงดังรูปที่ 1.18
(ค) ระบบทําความเย็นใหอากาศแหง
รูปที่ 1.18 แสดงวิธที ําใหอากาศแหงแบบตาง ๆ
13
¾ กระบวนการทางฟสิกส (absorption drying)
สารที่บรรจุในถัง ดังรูปที่ 1.18 (ข) มี 2 ถังใชงานสลับกัน สารดูดความชื้นสวนมากใชซิลิคอน
ไดออกไซด มีรูปรางเปนเม็ดคลายลูกปดและมีลักษณะเปนเจล (gel) มีคุณสมบัติในการดูดความชืน้
เมื่ออากาศจากเครื่องอัดอากาศไหลผานชัน้ ของเจล ความชื้นทีป่ ะปนกับอากาศจะถูกดูดเก็บเอาไว
เมื่อสารดูดความชื้นอิม่ ตัวจะสามารถทําใหแหงโดยเปาลมรอน (heat energy) ใหสารดูดความชืน้ แหง
และนํามาใชงานใหมได ดังนั้นจึงตองมี 2 ถังเพื่อทํางานสลับกัน
1.6.4 การหลอเย็นเครื่องอัดอากาศ
ในกระบวนการอัดอากาศจะกอใหเกิดความรอนสะสมขึน้ ที่เครื่องอัดอากาศและ
จําเปนตองกําจัดใหหมดโดยเร็วที่สุดเทาที่จะทําได โดยการใชอุปกรณหลอเย็น (Cooling) ที่เหมาะสม
กับชนิดและขนาดของเครื่องอัดอากาศนัน้ ๆ สําหรับเครื่องอัดอากาศขนาดเล็กนั้นปริมาณความรอน
สามารถระบายสูอากาศดวยครีบของเรือนสูบและฝาสูบดังแสดงในรูปที่ 1.19 (ก) ถาการถายเท
อากาศบริเวณที่ตั้งของเครื่องอัดอากาศมีไมดีพอ จําเปนตองใชพัดลมชวยเปาระบายความรอนเพิม่
ในเครื่องอัดอากาศขนาดกลางถึงใหญจะนิยมใชระบบน้ําหลอเย็นทีด่ านขางฝาสูบดังรูปที่ 1.19 (ข)
รูปแบบการหลอเย็นที่นยิ มใชในเครื่องอัดอากาศขนาดตาง ดังนี้
1. เครื่องอัดอากาศขนาดเล็ก กําลังขับมอเตอรไฟฟาไมเกิน 7.5 Kw หลอเย็นดวยอากาศปกติ
2. เครื่องอัดอากาศขนาดกลาง กําลังขับมอเตอรไฟฟาไมเกิน 75 Kw ใชหลอเย็นไดทั้งอากาศ
และน้ํา ขึ้นกับชนิดและสถานทีท่ ี่ติดตั้งของเครื่องอัดอากาศ
3. เครื่องอัดอากาศขนาดใหญ หลอเย็นดวยน้ําอยางเดียว กําลังขับมอเตอรมากกวา 75 Kw
14
รูปที่ 1.19 การหลอเย็นของเครื่องอัดอากาศดวยอากาศและน้ํา
15
รูปที่ 1.20 แสดงการเดินทอลมอัดภายในโรงงานอุตสาหกรรมและอุปกรณที่ใชประกอบตาง ๆ
16
3. ทอแยกที่ตอออกจากทอสงหลัก(main line) ควรตอออกดานบนของทอหลัก เพื่อปองกัน
น้ําที่กลัน่ ตัวไหลเขาสูอุปกรณนิวแมติกส ควรทํามุมเอียงขึ้นดานบนประมาณ 30 องศากับแนวระดับ
แลวงอโคงลงดวยรัศมีดานในอยางนอยทีส่ ุดเทากับ 5 เทาของเสนผาศูนยกลางทอลมอัดดังรูปที่ 1.21
¾ การยึดทอสงหลักในโรงงาน
การยึดทอสงหลักในโรงงานอุตสาหกรรมนิยมติดตั้งดวยกัน 3 ลักษณะดังรูปที่ 1.22
¾ รูปแบบการเดินทอสงหลักในโรงงานอุตสาหกรรม
1. แบบปลายทอสงหลักปดดานหนึง่ และเดินทอแยกออกจากทอสงหลักเปนจุด ๆ ที่ปลายทอ
จะมีความดันตกครอมสูง ดังรูปที่ 1.23 (ก)
2. แบบวงแหวน หมายถึงทอที่เดินมาบรรจบกันเปนวงกลม ลมอัดสามารถไหลวนถึงกันได
ตลอดทั้งสองปลาย เพื่อลดความดันตกครอมและทําใหความดันเฉลี่ยในทอมีคา ใกลเคียงกัน
17
¾ รูปแบบการวางทอแยกในโรงงาน
สําหรับการวางทอสงหลักภายในโรงงาน นิยมวางในลักษณะเปนวงแหวน (Ring main) คือ
วางเปนวงรอบโรงงาน การวางทอแบบนี้จะทําใหการจายลมกระจายออกไปทั้งสองดานของวงแหวน
ไปรอบโรงงาน ซึง่ ทําใหไมเกิดความดันตกครอมบริเวณปลายสุดของทอ ถึงแมวาจะใชลมอัดจํานวน
มากการวางทอแยกจากทอสงหลักเพื่อกระจายลมอัดไปใชงานยังแบงเปน 2 รูปแบบดังรูปที่ 1.22
ขอควรระวังในการเดินทอสงหลักพยายามใหมีขอตอนอยที่สุด ควรเลือกขนาดเสนผาศูนย
กลางทอใหเหมาะสมกับปริมาณลมอัดที่ใชงาน ถามีแผนการเพิ่มอุปกรณภายหลังควรคํานึงถึงขนาด
เครื่องอัดอากาศใหมีขนาดเพียงพอสําหรับการใชงานในอนาคต
¾ ขอตอ และกอก
ขอตอมีหนาทีใ่ นการยึดและประกอบทอยางหรือทอเหล็กกับระบบทอลมหลักดังรูปที่ 1.25
สวนกอกมีหนาที่ในการควบคุมการปดเปดเพื่อจายลมอัดใหอุปกรณ ดังรูปที่ 1.26
18
รูปที่ 1.26 แสดงกอกปดเปดแบบตาง ๆ
¾ ทอออนหรือทอยาง
ทอออนหรือทอยาง (Air hose) มีหนาที่เชื่อมตออุปกรณกับชุดปรับปรุงอากาศ ทอออน
ประกอบดวยชั้นยางเปนชัน้ ๆ และเสริมเชือกหรือใยสังเคราะห เพื่อเพิม่ ความแข็งแรงดังรูปที่ 1.27
1.8 การสูญเสียลมอัดจากรอยรั่ว
การรั่วของทอลมหรืออุปกรณในระบบนิวแมติกส จะกอใหเกิดการสูญเสียพลังงานและ
เศรษฐกิจเปนอยางมาก การสูญเสียจากรอยรั่วแสดงดังตารางที่ 1.1 ซึ่งสิ่งที่ตองคํานึงถึงอยางยิง่
ตารางที่ 1.1 แสดงขนาดรูรั่วกับคาการสูญเสียพลังงานไฟฟา
ขนาดรูรั่ว (mm) 1 3 5 10
ลมอัดรั่วที่ความดัน 7 bar (m3 /min) 0.06 0.6 1.6 6.3
การสูญเสียพลังงานไฟฟา (Kw) 0.3 3.1 3.3 8.3
19
1.9 ระบบนิวแมติกสพื้นฐาน
ระบบนิวแมติกสมีองคประกอบในการใชงานดังรูปที่ 1.28 และแสดงสัญลักษณดังรูปที่ 1.29
20
3. ถังลม ควรมีขนาดใหมเพียงพอจากลมอัดใหกับอุปกรณทุกตัว เพือ่ ปองกันการที่เครื่องอัด
อากาศทํางานหนักมากเกินไป
4. ชุดกรองอากาศ หรือเครื่องกรองอากาศในทอหลัก (Main Line Air Filter) จะทําหนาที่
กําจัดฝุนละออง น้ํา และคราบน้ํามันที่ปะปนมากับลมอัดที่อยูในทอสงหลัก กอนที่จะสงลมอัดนี้ไปใช
งานหรือผานการกรองอีกครัง้ หนึ่ง
5. ชุดทําใหอากาศแหง มีหนาที่ในการทําใหไอน้ําในลมอัดกลั่นตัวเปนหยดน้าํ โดยการลด
อุณหภูมิของไอน้ําลงจนถึงอุณหภูมิหอง ไอน้ําเกิดการกลั่นตัวเปนหยดและไหลออกทางชองระบายทิง้
6. ทอแยกไปใชงาน เปนทอที่ตอแยกจากทอสงหลักไปใชงานในตําแหนงที่ตองการ
7. ชุดกรองอากาศ จะทําการกําจัดฝุน ละออง สนิมภายในทอหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ ทีต่ ิดมากับ
ลมอัด เพื่อปองกันความเสียตออุปกรณ และยังชวยในการกรองน้ําออกจากลมอัดดวย
8. ชุดปรับความดันใชงานและเกจวัดความดัน มีหนาที่ในการรักษาระดับความดันใหอยูใน
ระดับที่ตองการและคงที่ เนือ่ งจากลมอัดที่เกิดจากเครือ่ งอัดอากาศจะมีคาสูงกวาความดันที่ตองการใช
งานเล็กนอย
9. ชุดผสมน้าํ มันหลอลืน่ มีหนาที่ในการเติมน้ํามันใหผสมกับลมอัด เพื่อชวยหลอลื่นใหกบั
อุปกรณที่เคลือ่ นที่ เพื่อใหมกี ารทํางานที่ราบรื่นและชวยยืดอายุการใชงานของอุปกรณ
10 วาลวควบคุมทิศทาง เปนวาลวที่ใชในการจายลมอัดใหกับกระบอกสูบ เพื่อควบคุมให
เกิดการเคลื่อนที่ในทิศทางที่ตองการ
11. กระบอกสูบ เปนอุปกรณกําลังที่ใชลมอัดเปนตนกําลังในการเคลื่อนที่เชิงเสน
12. วาลวควบคุมความเร็ว มีหนาที่ในการปรับแรงดันของลมอัดที่จายใหแกกระบอกสูบ
ตามที่ตอง เพือ่ ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนที่ของกานสูบ
21
รูปที่ 1.30 แสดงชุดบริการลมอัด
22
รูปที่ 1.31 ตอ แสดงสัญลักษณของแหลงกําเนิดลมอัดและชุดบริการ
¾ ชุดกรองลมอัด(Air Filter)
เนื่องจากลมอัดที่อยูภายในถังเก็บลมนัน้ จะมีสิ่งสกปรกรวมอยู เชน ไอน้ํา ฝุน ผง หรือมวล
สารที่ลองลอยในบริเวณทีเ่ ครื่องอัดอากาศทํางาน เมือ่ ลมอัดไหลผานตัวกรอง ลมอัดก็จะไหลลง
ดานลางและผานไสกรองเขาไปดานใน จากนัน้ จะไหลออกในชองทางออกไปสูวาลวควบคุมความดัน
ตอไป ในจังหวะที่ลมอัดไหลผานดานลางนั้นจะทําใหน้ํา หรือสิ่งสกปรก หรือมวลสารทีม่ ีขนาดใหญ
กวาตัวกรองอากาศตกลงสะสมอยูดานลาง เพื่อรอการระบายทิ้ง นอกจากนั้นยังมีแผนกะบัง (baffle
23
plate) เปนตัวปองกันไมใหสิ่งสกปรกทีส่ ะสมอยูดานลางลอยขึน้ ไปปะปนกับลมอัดที่ไหลเขาไสกรอง
ดังแสดงในรูปที่ 1.32
24
รูปที่ 1.33 แสดงสวนประกอบของชุดควบคุมความดัน
25
¾ ตัวผสมน้ํามันหลอลืน่ (Air lubricator)
มีหนาที่ในการเต็มน้ํามันหลอลื่นใหกับลมอัด เพือ่ เปนตัวหลอลื่นและปองกันอุปกรณที่
เคลื่อนที่สัมผัสกันโดยตรง โดยลมอัดที่ผานรูทางเขาจะไหลผานดานลางและตรงออกไปสูบริเวณคอ
คอด สวนทีไ่ หลลงดานลางนัน้ จะดันใหน้ํามันเขาไปในทอดูดน้าํ มันและเกิดหยดลงทีห่ ัวฉีด เมื่อหยด
น้ํามันถูกลมอัดพัดใหแตกเปนฝอยผสมกับลมอัด โดยมีวาลวปรับขนาดการหยดของน้ํามันวาใหหยด
มากนอยเพียงไร ปกติแลวควรเติมน้ํามันหลอลื่น 5 หยดตอนาที หรือตรวจสอบโดยการใชกระดาษ
ขาวอังที่รูระบายลมออก ถามีน้ํามันไหลเปนทางแสดงวา จํานวนที่เติมน้ํามันมากเกินไป หลักการใน
การทําใหน้ํามันถูกดูดขึ้นตามทอดูด เนื่องมาจากเมื่อลมอัดไหลผานคอคอดจะทําใหความดันใน
บริเวณคอคอดนั้นลดลง ทําใหความดันที่มีคา สูงกวาบริเวณดานลาง ดันใหนา้ํ มันไหลขึ้นมาผานหัว
หยดไดดังรูปที่ 1.35
26
1.10 เปรียบเทียบระบบนิวแมติกสและระบบไฮดรอลิกส
27
¾ ระบบไฮดรอลิกส (Hydraulic Fluid Power System) (ดูรูปที่ 1.37)
1. ปมไฮดรอลิกสถูกขับดวยมอเตอร หรือเครื่องยนต ตามปกติแลว ปริมาตรการดูดของปม
ขึ้นอยูกับอัตราความเร็วของกระบอกสูบทีใ่ ชงาน โดยปมจะทํางานตลอดเวลาเพื่อสรางความดันให
น้ํามันมีคา คงที่ตลอดเวลาในขณะใชงาน น้ํามันที่มคี วามดันสูงไมสามารถจัดเก็บไวภายในถังเก็บได
เชนเดียวกับถังเก็บลม โดยมีความดันใชงานปกติมีคาประมาณ 1,000 – 3,000 1psi
น้ํามันไฮดรอลิกสท่ถี กู เพิม่ ความดันและผานการใชงานในระบบแลว จะไหลผานทอน้าํ มัน
กลับและถูกกรองกอนเขาสูถ ังเก็บน้าํ มัน เพื่อปมเขาสูร ะบบใหมอีกครั้งหนึง่ เปนวงรอบปด ระบบ
ไฮดรอลิกสขนาดเล็กหรือขนาดกลางจะวางปม , Relief valve หรือวาลวอื่น ๆ อยูบนถังน้าํ และเรียก
รวมวาชุดปมไฮโดรลิกส (Hydraulic pumping unit , Hydraulic power unit)
2. น้ํามันไฮดรอลิกสจะถูกกรองใหสะอาดเสียกอน ดวย Filter เพื่อปองกันอันตรายจากฝุน
หรือสิ่งสกปรกที่ติดมากับน้ํามันเขาไปทําลายอุปกรณตาง ๆ ซึง่ อาจติดตั้งไวในตําแหนงน้ํามันวิ่งเขา
ระบบหรือกอนกลับเขาถัง แตสวนใหญนยิ มวางไวกอนเขาระบบ
3. วาลวควบคุมทิศทาง ทีค่ วบคุมการทํางานดวย Solenoid หรือบังคับดวยมือ ในการจาย
น้ํามันใหกับกระบอกสูบใหเกิดการเคลื่อนที่ มีลักษณะการใชงานเชนเดียวกับวาลวระบบนิวแมติกส
4. กระบอกสูบไฮดรอลิกส หรือมอเตอรไฮดรอลิกส จะทําหนาทีเ่ ปลีย่ นพลังงานของของไหล
ใหเปนพลังงานกลในการเคลื่อนที่เชิงเสน หรือเชิงมุม โดยการติดตั้งกลไกไวที่กา นสูบ มีลักษณะการใช
งานเชนเดียวกับกระบอกสูบระบบนิวแมติกสแตกเฉพาะขนาดและตนกําลังงานที่ใช
5. วงจรไฮดรอลิกสบางวงจรจะลดความเร็วของกานสูบ โดยติดตั้ง Flow control ไวใน
ทิศทางหนึง่ เพื่อควบคุมความเร็วในการเคลื่อนที่เขาและออกที่แตกตางกัน ตัวอยางเชน การสงชิน้ งาน
หรือการอัดชิ้นงานดวยกําลังแรงดันสูงแลว จะเคลื่อนที่กลับดวยความเร็วสูง มีลักษณะการใชงาน
เชนเดียวกับกระบอกสูบระบบนิวแมติกส
28
¾ ปจจัยที่คํานึงถึงในการเลือกใชงานระบบนิวแมติกสและระบบไฮดรอลิกส
1. ระดับของกําลัง (Power level) ระบบนิวแมติกสปกติแลวใหกําลังทํางานอยู
ระหวาง 0.25 ถึง 1.5 แรงมา ในขณะที่ระบบไฮดรอลิกสใหกําลังทํางานที่สูงกวา คือ ตั้งแต 1.5 แรงมา
ขึ้นไป กําลังทํางาน 100 แรงมาที่ไดจากลมอัดสามารถกระจายใหอปุ กรณทํางานไดพรอมกันหลายชุด
แตระบบไฮดรอลิกสใชงานไดเพียงชุดเดียวเนื่องจากเปนระบบปด
2. ระดับเสียง (Noise Level) ระบบนิวแมติกสจะมีทเี่ ก็บเสียง (Muffled) จึงเงียบกวาระบบ
ไฮดรอลิกส ทีแ่ รงมาเทากัน เนื่องจากปม น้าํ มันไฮดรอลิกสจะตองทํางานอยูตลอดเวลาทํางาน
3. ความสะอาด (Cleanliness) ระบบนิวแมติกสจะสะอาดกวาระบบไฮดรอลิกส แมภายใน
ลมที่จายใหกบั อุปกรณจะมีน้ํามันหลอลื่นผสมอยู แตก็มีปริมาณนอยมากทีพ่ นออกจากวาลว แตใน
ระบบไฮดรอลิกสมีโอกาสทีน่ ้ํามันไฮดรอลิกสจะรั่วออกตามซีลกระบอกสูบ สายน้าํ มัน หรือจากการ
เปลี่ยนชิน้ สวนตาง ๆ หรือซอมบํารุงจะมีน้ํามันตกคางอยูภายในทอสง เปนตน ทําใหเกิดน้ํามันรั่วบน
เครื่องจักรไดทั้งสิ้น
4. ความเร็ว (Speed) เมือ่ ใชกําลังนอยระบบลมจะทํางานไดเร็วกวาระบบไฮดรอลิกส ถา
ตองการใหความเร็วในการเคลื่อนที่เทากันแลวระบบไฮดรอลิกสจําเปนตองเพิ่มขนาดของปม ขนาด
ของวาลว และปริมาตรการอัดที่สูงมากกวา เนื่องจากระบบไฮดรอลิกสไมสามารถสํารองน้าํ มันที่มี
ความดันสูงไดเหมือนระบบลม และน้ํามันมีความหนืดมากกวาลมอัดทําใหเกิดแรงตานการเคลื่อนที่
5. ตนทุนการทํางาน (Operating Cost) ระบบไฮดรอลิกสจะมีตนทุนการสรางความดันเพื่อ
ใชงานในระบบต่ํากวาระบบลม เนื่องจากปมน้ํามันไฮดรอลิกสไมจําเปนตองระบบระบายความรอน
(Cooler)เหมือนระบบลม ซึ่งเปนอุปกรณจําเปนในการกําจัดความรอนของลมอัด จึงใชพลังงานสูง
กวาเมื่อเปรียบเทียบคาใชจา ยในการสรางความดัน
6. ตนทุนขั้นแรก (First Cost) แมคาใชจา ยในการสรางแรงดันในระบบไฮดรอลิกสจะต่ํากวา
แตในระบบที่ใชกําลังนอยระบบนิวแมติกสสามารถสํารองลมอัดไดและนําลมอัดไปใชงานโดยเครื่องอัด
อากาศไมตองทํางาน รวมทั้งอุปกรณในระบบนิวแมติกสมีราคาถูกกวาระบบไฮดรอลิกส
7. ความแข็งแรง (Rigidity) ถาตองการความแข็งแรงแลว ระบบไฮดรอลิกสจะแข็งแรงกวา
8. การควบคุมตําแหนงทํางาน (Position control) แมระบบไฮดรอลิกสจะมีความเร็วในการ
ทํางานชากวาระบบนิวแมติกส แตการควบคุมการหยุดนั้นมีประสิทธิภาพสูงกวา สามารถหยุดไดทันที
ในตําแหนงกึ่งกลางกระบอกสูบไมวาจะใชกําลังสูงหรือต่ํา กระบอกสูบที่ใชลมอัดจะไมสามารถหยุดได
อยางแมนย่าํ เนื่องจากแรงเฉื่อยจากการหยุดการเคลื่อนของกานสูบนัน้ สามารถอัดอากาศภายใน
กระบอกสูบได ตัวอยางานระบบไฮดรอลิกส ไดแก ลิฟท การปอนชิ้นงานหลายตําแหนง การอัดรูป
ชิ้นงาน
29
จากรูปที่ 1.38 จะพบวาอุปกรณที่ใชงานในระบบนิวแมติกสและระบบไฮดรอลิกสนั้น นั้นมี
หลักการทํางานเหมือนกัน สังเกตไดจากสัญลักษณจากรูป 1.38 (ก) และ (ข) จะเหมือนกันแตกตางที่
ตนกําลังทีเ่ ปนลมอัดหรือน้ํามันไฮดรอลิกส ในระบบไฮดรอลิกสมีความยุงยากในการออกแบบ
มากกวาระบบนิวแมติกสเล็กนอย เนื่องจากน้าํ มันไฮดรอลิกสที่ใชในระบบไมสามารถทิง้ สูบรรยากาศ
ไดเชนเดียวกับลมอัด ดังนัน้ น้าํ มันทีไ่ หลผานอุปกรณทุกตัวในระบบไฮดรอลิกสแลวจะตองถูกกรอง
และไหลกลับสูถังเก็บเพื่อใชงานใหมเสมอ ดังนัน้ ภายในหนังสือเลมนี้จะกลาวถึงการออกแบบดวย
ระบบนิวแมติกสเปนหลัก เนื่องจากทางสาขาวิชาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยหอการคาไทย มี
เฉพาะอุปกรณระบบนิวแมติกส หากผูศึกษามีความจําเปนในการใชงานระบบไฮดรอลิกสก็สามารถ
ออกแบบวงจรควบคุมไดเชนกัน เพียงแตตองไปศึกษาถึงรายละเอียดของอุปกรณในระบบไฮดรอลิกสที่
ตองการใชงานเพิม่ อีกเล็กนอย
(ก) ระบบนิวแมติกส
(ข) ระบบไฮดรอลิกส
30