Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
ชีวิตไร้ความหมายในสังคมทุนนิยม?
ทบทวนมโนทัศน์ความแปลกแยกของมาร์กซ์1
ยุกติ มุกดาวิจิตร
แง่มุมที่สำคัญด้านหนึ่งที่สังคมทุนนิยมถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด คือการลดคุณค่ามนุษย์ให้กลาย
เป็นสินค้า แรงงานมนุษย์และผลผลิตของมนุษย์หมดคุณค่าเฉพาะในตัวเอง ถูกทำให้กลายเป็น
เพียงวัตถุเพื่อการแลกเปลี่ยน ในแนววิเคราะห์แบบมาร์กซิสม์ภาวะดังกล่าวเป็นภาวะที่เรียกว่า
ความแปลกแยก ในการอภิปรายเรื่องความแปลกแยกนี้ ประการแรก ผู้เขียนประสงค์ที่จะตรวจ
สอบความเข้าใจเรื่องความแปลกแยกหรือภาวะวิกฤตของมนุษย์ในสังคมทุนนิยมที่เสนอโดยมาร์กซ์
เอง ประการที่สอง ผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตต่อแนวคิดเรื่องความแปลกแยกของมาร์กซ์ ด้วยงาน
วิจัยข้ามสังคมวัฒนธรรมทางมานุษยวิทยา โดยหวังว่าการถกเถียงเรื่องความแปลกแยกจาก
ประสบการณ์ของสังคมวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป จะช่วยให้เข้าใจความซับซ้อนของสังคม
ทุนนิยม/โลกาภิวัตน์ ช่วยขยายประเด็นการวิจารณ์สังคมทุนนิยมจากเพียงการวิจารณ์ทาง
เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม ไปสู่การวิจารณ์ในระดับปรัชญาสังคมวัฒนธรรม นำไปสู่
ปัญหาที่ว่า การใช้ชีวิตในสังคมทุนนิยม ไม่ว่าจะในด้านการผลิต การแจกจ่าย และการบริโภค
เป็นชีวิตที่มีคุณค่าหรือไม่ ผู้เขียนเสนอว่า ถึงที่สุดแล้วการประเมิณคุณค่าของการดำรงอยู่ในสังคม
ทุนนิยมเป็นเรื่องยากและละเอียดอ่อน เกินกว่าจะสรุปเพียงว่าสังคมทุนนิยมเป็นสังคมที่เต็มไปด้วย
ความแปลกแยก ที่สุดแล้วอาจกล่าวได้ว่า มิใช่ว่าความแปลกแยกจะครอบงำทุกมิติของชีวิตมนุษย์
และวัตถุ เช่นเดียวกับที่ไม่ใช่ว่าระบบทุนนิยมจะครอบงำทุกๆ มิติของชีวิตในสังคมปัจจุบัน
เหล่านี้ งานเหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจและวิพากษ์ความสลับซับซ้อนของความแปลกแยกในสังคม
ทุนนิยมได้ลุ่มลึก แหลมคมยิ่งขึ้น และมองปรากฏการณ์ความแปลกแยกโดยเปรียบเทียบข้าม
วัฒนธรรม ไม่เหมารวมเอาอย่างง่ายๆ ว่าวัฒนธรรมใดต่างก็เผชิญกับความแปลกแยกในสังคม
ทุนนิยม/โลกาภิวตน์อย่างรุนแรง เสมอเหมือน เป็นไปในทำนองเดียวกันหมด
นานาทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ว่าด้วยความแปลกแยก
มาร์กซ์มองความแปลกแยกในฐานะที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนทางการเงิน ใน
ฐานะที่เงินเป็นสิ่งที่ใช้แทนมูลค่าของสินค้าและเป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยน เงินตราจึงเป็น
เอกเทศจากตัวสินค้า
ในแง่นี้ ความแปลกแยกในสังคมทุนนิยมจึงเกิดขึ้นเมื่อเงินถูกใช้เป็นสื่อกลางหลักของการ
แลกเปลี่ยน ในสถานการณ์นี้ มนุษย์แปลกแยกจากผลิตผลก็ด้วยเหตุที่เงินแยกตัวออกเป็นเอกเทศ
จากสินค้า เราจะเข้าใจทัศนะดังกล่าวชัดเจนยิ่งขึ้นจากที่มาร์กซ์อภิปรายอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ว่า
เมื่อข้าพเจ้าส่งมอบทรัพย์สินส่วนตัวของข้าพเจ้าให้คนอีกผู้หนึ่ง สิ่งสิ่งนั้นได้สิ้นสุดการเป็น
ของของข้าพเจ้า มันกลายเป็นบางสิ่งที่เป็นเอกเทศจากข้าพเจ้า เป็นสิ่งภายนอกอาณา
บริเวณของข้าพเจ้า เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวของ
ตนเองกลายเป็นสิ่งภายนอกข้าพเจ้า เท่าที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้นี้ สิ่งนั้นได้กลายเป็น
ทรัพย์สินส่วนตัวที่ถูกทำให้อยู่ภายนอก ข้าพเจ้ามองมันในฐานะที่เป็นสิ่งภายนอก
(Selected Writings, p. 46)
สินค้ากลายมาเป็นเงินตราอย่างแท้จริง ด้วยความแปลกแยกโดยทั่วไปของบรรดาสินค้า
ด้วยการที่จริงๆแล้วมันเปลี่ยนที่ทางของรูปลักษณ์ตามธรรมชาติจากที่เคยเป็นสิ่งมีมูลค่า
จากการใช้สอย และจากนั้น ในความเป็นจริง มันกลายไปเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวมันเอง เมื่อ
อยู่ในรูปเงินตราดังกล่าว สินค้าได้ปลดเปลื้องทุกๆร่องรอยแห่งมูลค่าใช้สอยตามธรรมชาติ
ของมัน[ทิ้งไป] (Capital I, p. 109)
อะไรคือสาเหตุที่ก่อให้แรงงานกลายเป็นสิ่งนอกตัวของผู้ใช้แรงงาน ?
ประการแรก ข้อเท็จจริงที่ว่าแรงงานเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกผู้ใช้แรงงาน กล่าวคือ มันไม่ได้
เป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของผู้ใช้แรงงาน และผู้ใช้แรงงานไม่สามารถยืนยันตัวตนในผลงาน
นั้นได้ หากแต่ต้องปฏิเสธตนเอง รู้สึกทุกข์เข็ญ เศร้าสร้อย พัฒนาไปสู่ความไม่เป็นอิสระ
ทางกายภาพและพลังงานทางจิตใจ มันบั่นทอนเนื้อหนังและทำลายจิตใจของผู้ใช้แรงงาน
ดังนั้น ผู้ใช้แรงงานจะรู้สึกสบายใจก็ต่อเมื่ออยู่นอกเงื่อนไขของการทำงาน และในขณะที่
พวกเขาทำงาน ผู้ใช้แรงงานจึงรู้สึกอยู่นอกตัวตนของตนเอง เขาจะรู้สึกสบายเหมือนอยู่ที่
บ้านเมื่อใดก็ตามที่เขาไม่ได้ทำงาน เมื่อใดที่เขาทำงาน เขาจะรู้สึกเหมือนอยู่นอกบ้าน
เพราะฉะนั้นงานจึงไม่ใช้สิ่งที่เขาทำโดยสมัครใจ ทว่าเป็นแรงงานที่ถูกขู่เข็ญ เป็นแรงงานที่
!4
สำหรับมาร์กซ์ การวิเคราะห์ความแปลกแยกในระดับนี้เป็นอีกขั้นหนึ่งของการวิเคราะห์
เรื่องสินค้าและมูลค่าแลกเปลี่ยน เป็นการมองว่าการแลกเปลี่ยนดำเนินไปเพื่อแลกเปลี่ยน หาใช่
เพื่อการบริโภคไม่
การแลกเปลี่ยนที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆนั้นถูกแยกออกมาจากการแลกเปลี่ยนเพื่อ
ให้ได้มาซึ่งสินค้า ชนชั้นผู้ค้าขายปรากฏขึ้นมาระหว่างผู้ผลิต เป็นชนชั้นของมนุษย์ผู้ซื้อ
เพียงเพื่อที่จะขาย และขายสินค้าเพียงในฐานะที่มันเป็นผลผลิต แต่ทว่าเขาจะต้องการแต่
เพียงผดุงมูลค่าแลกเปลี่ยนให้คงไว้ ซึ่งก็คือเงินตรา . . . เป้าหมายทันทีทันใดของการค้า
ไม่ใช่การบริโภค แต่เป็นการพอกพูนให้มากยิ่งๆขึ้นของเงินตรา ของมูลค่าแลกเปลี่ยน ผล
ที่สุดการที่มีการแลกเปลี่ยนสองลักษณะควบคู่กันอยู่ กล่าวคือ หนึ่งการแลกเปลี่ยนเพื่อ
การบริโภคและสองการแลกเปลี่ยนเพื่อการแลกเปลี่ยน ได้นำไปสู่ความไม่ลงรอยกันในรูป
แบบใหม่ (The Grundrisse, p. 63)
!5
กระบวนการสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนกันระหว่างมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะทางสังคม ไม่ใช่
กระบวนการของมนุษย์ ปราศจากสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ หากแต่ว่า มันเป็น
สัมพันธภาพนามธรรมของทรัพย์สินส่วนตัว และสัมพันธภาพนามธรรมดังกล่าวเป็นมูลค่า
ซึ่งมูลค่าอันแท้จริงของมันโดยพื้นฐานแล้วคือเงินตรา (Selected Writings, p. 42)
ในอีกระดับหนึ่ง มาร์กซ์ผลักแนวคิดความแปลกแยกไปถึงความแปลกของมนุษย์จากสิ่ง
แวดล้อมตามธรรมชาติ
ธรรมชาติเป็นเรือนร่างทางชีวภาพของมนุษย์ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะ
มนุษย์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยธรรมชาติ นั่นหมายความว่าธรรมชาติคือเรือนร่างที่มนุษย์
จะต้องคงไว้เพื่อที่ตนเองจะดำรงชีพอยู่ได้ ในการที่ ประการแรก ธรรมชาติแปลกแยกออก
จากมนุษย์ และประการที่สอง มนุษย์แปลกแยกออกจากตนเอง จากกิจกรรมอันเป็น
ประโยชน์ของตนเอง จากกิจกรรมแห่งการดำรงชีวิตของตนเอง แรงงานที่ถูกทำให้แปลก
แยกจึงทำให้มนุษย์แปลกแยกออกจากเผ่าพันธุ์แห่งความเป็นมนุษย์ มันเป็นการทำให้ชีวิต
ของทั้งเผ่าพันธุ์ (species-life) กลายมาเป็นเพียงชีวิตของปัจเจกชน
คนงานแปลกแยกจากปัจจัยการผลิตและผลผลิต?
ใน We Have Eaten the Mines and the Mines Eat Us (พวกเราหากินกับเหมื องและ
เหมืองหากินกับพวกเรา) จูน แนช เสนอข้อถกเถียงเรื่องความแปลกแยกตามแนวทางที่มาร์กซ์
เสนอไว้อย่างน่าสนใจในหลายๆระดับด้วยกัน หากจะเชื่อมโยงแนชกับมาร์กซ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
ความแปลกแยกระหว่างคนงานเหมืองกับผลผลิต ซึ่งในกรณีนี้คือแร่ดีบุก เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด ดีบุก
ที่ถูกขุดขึ้นมาโดยคนงานเหมืองถูกกำหนดตั้งแต่ต้นให้เป็นสินค้าสำหรับแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งที่ถูก
ทำให้แยกออกจากผู้ผลิต ด้วยการขุดดีบุกขึ้นมา กำลังแรงงานของคนงานเหมืองไม่ได้ถูกใช้ไปเพื่อ
การแปรเปลี่ยนธรรมชาติเพื่อการบริโภค แต่มันเป็นการใช้แรงงานเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินตรา หรือ
ในอีกนัยหนึ่งคือกำลังแรงงานของคนงานเหมืองถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่เป็นนามธรรมของ
มูลค่า
ในอีกระดับหนึ่ง คนงานเหมืองแปลกแยกจากมูลค่าส่วนเกิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลผลิต
ของกำลังแรงงานชาวเหมืองเอง ในแง่นี้ส่วนเกินที่ถูกตัดแบ่งออกมาจากคนงานเหมืองถูกแปลงไป
เป็นทุนที่อยู่ในรูปเงินตรา ยิ่งกว่านั้น ในกรณีของคนงานเหมืองในโบลีเวีย ความแปลกแยกของ
ชาวเหมืองจากทุนอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินของผู้ใช้แรงงานโดยทั่วๆ ไป
ทั้งนี้เพราะ ดังที่แนชกล่าวไว้ว่า “มูลค่าส่วนเกิน . . . ไม่ได้ถูกนำมาลงทุนซ้ำในวิสาหกิจใดๆใน
ประเทศ [โบลีเวียเอง] [ดังนั้นจึงไม่ได้ก่อให้เกิด]การจ้างงานเพิ่มขึ้น หรือการเติบโตขึ้นของ
ศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ในทางตรงกันข้าม มูลค่าส่วนเกินกลับถูกแปลงไปเป็นการลงทุนที่
คุกคามต่อการดำรงอยู่ขั้นพื้นฐานของชาวเหมือง” (p. 210) นั่นคือไม่เพียงแต่ส่วนหนึ่งของแรงงาน
ของชาวเหมืองจะถูกตัดตอนออกไปเป็นมูลค่าส่วนเกิน หากแต่มันยังไม่หวนกลับไปในอุตสาหกรรม
เหมืองแร่ หรือประเทศที่เหมืองแร่ตั้งอยู่
นอกจากนั้นคนงานยังแปลกแยกจากปัจจัยการผลิต แน่นอนว่าคนงานเหมืองไม่ได้เป็น
เจ้าของปัจจัยการผลิต ยิ่งกว่านั้น แนชเสนอว่า ยิ่งอุตสหากรรมมีการแข่งขันกันมากเท่าไร ความ
!7
ในชุมชนคนงานเหมือง ความขัดแย้งระหว่างชีวิตที่บ้านกับชีวิตที่ที่ทำงานเป็นสิ่งที่เห็นได้
ยาก ที่พักอาศัยมักจะเป็นส่วนขยายของสิ่งก่อสร้างในเหมือง และเป็นการยากที่จะ
แยกแยะว่ า อาคารผู้ บ ริ ห ารสิ้ น สุ ด ที่ ต รงไหนและบ้ า นพั ก คนงานเริ่ ม ต้ น ที่ ต รงไหน
[สมาชิก]ครอบครัวของคนงานเหมืองก็แป่งปันเงื่อนไขจำเป็นพื้นฐานอันเดียวกันกับคนงาน
เหมือง . . . การไม่แบ่งเขาแบ่งเรา (communitas) (หรือการอยู่ร่วมกลุ่มสังคมเดียวกันและ
ร่วมชะตากรรมกันโดยเท่าเทียม) ก่อให้เกิดการประสานกันของชนชั้นในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
(pp. 87-88)
ไม่เพียงแต่ความเป็นชุมชนจะเกิดขึ้นมาจากการแบ่งปันสถานที่อยู่ แต่มันยังเกิดขึ้นมาจาก
กิจกรรมทางสังคมภายในค่ายพักคนงานเหมือง ยกตัวอย่างเช่น การเล่นและกีฬาที่เล่นกันในค่าย
เหมือง การกู้เงินระหว่างครอบครัวชาวเหมือง สมาคมภริยาชาวเหมือง และกิจกรรมของโบสถ์ใน
ค่ายคนงานเหมือง (pp. 105-118) สิ่งเหล่านี้นำแนชไปสู่ข้อสรุปว่า
คนงานเหมืองแปลกแยกออกจากความสัมพันธ์ทางสังคม ที่นิยามให้ชาวเหมืองเป็นเบี้ย
ล่างในลำดับชั้นของการบริหารงานเหมืองแร่ หากแต่ว่าในทางวัฒนธรรมและความสัมพันธ์
ทางสังคมแล้ว คนงานเหล่านี้ไม่ได้ถูกทำให้แปลกแยกในชุมชนที่พวกเขาสร้างขึ้นมา สิ่งนี้
เป็นสิ่งสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของคนงานในอันที่จะต่อต้านการรวมเข้าเป็นส่วน
หนึ่งของโรงงานเหมืองแร่ และการทำให้ด้อยค่าความเป็นมนุษย์ลงของปัจเจกชน โดยผู้
ซึ่งขูดรีดแรงงานและพยายามที่จะบงการชีวิตของพวกเขา (p. 119)
ในระดับของชีวิตเชิงพิธีกรรม แนชนำเสนอพิธีกรรมและเทศกาลหลายๆอย่างที่ชาวเหมือง
ยึดถือปฏิบัติ (p. 121-169) จูน แนชเสนอว่า พิธีกรรมและเทศกาลเหล่านี้เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ก่อ
!8
[เทพเจ้า]เซอร์เปเป็นอำนาจเพศชาย การเซ่นสรวงผีตนนี้เป็นการบนบานเพื่อให้ได้มาซึ่ง
เจตจำนงที่ดีงามของผีตนนี้ ไม่ใช่เพื่อธำรงไว้ซึ่งสถานภาพทางสังคม แต่เพื่อเข้าถึงความ
อุดมสมบูรณ์ของสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเนินเขาแห่งนี้ มีการล้มตัวลามะสีขาวเพื่อบูชา ส่วน
หัวใจของลามะจะถูกนำเข้าไปในเหมือง เพื่อขอพรจากผีเป็นคำรบสอง ในทุกๆปี พิธีนี้
เป็นทั้งการเซ่นสรวงเพื่อสนองความหิวกระหายของผีเซอร์ปา และดังนั้นผีจะได้ไม่มากิน
คนงานที่ทำงานอยู่ในเหมือง กับทั้งเป็นการขอให้ผีช่วยเจือจานความรุ่มรวยของเหมือง ให้
กับคนงานเหมือง (p. 123)
ผู้ใช้แรงงานแปลกแยกจากตนเอง?
ประเด็นหลักใน Crafting Selves (หัตถกรรมตัวตน) ดอรีน กอนโดสนใจศึกษาวิธีที่คนงาน
ญี่ปุ่นกำหนดอัตลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตลักษณ์ที่ก่อร่างขึ้นมาจากการทำงานใน
โรงงาน กอนโดพบว่า อัตลักษณ์ดังกล่าวไม่ได้มีลักษณะเป็นเอกภาพ หรือตายตัว คนงาน
กำหนดอัตลักษณ์ตนเองแตกต่างกันไปตามบริบทของเวลาและสถานที่ กอนโดเรียกกระบวนการ
กำหนดอัตลักษณ์นี้ว่า การของการประดิษฐ์ประดอยตัวตน (crafting selves) กล่าวคือเป็นกระ
บวนการที่คนงานสร้างสรรตัวตนของตนเองภายใต้อัตลักษณ์ที่หลากหลาย ผลที่สุดแล้วทำให้เห็น
ว่า ทัศนคติของคนงานต่อการทำงานและโรงงานกลายเป็นสิ่งที่กำกวม
ประเด็นที่เชื่อมโยงความกำกวมของอัตลักษณ์คนงานกับข้อถกเถียงเรื่องภาวะแปลกแยก
ของคนงาน ได้แก่อุดมการณ์ ”บริษัทคือครอบครัว” และ “คนงานคือช่างฝีมือ”
ในทัศนะของกอนโด วาทกรรมว่าด้วยครอบครัวถูกใช้อย่างกว้างขวางในญี่ปุ่น เพื่อนิยาม
ความสัมพันธ์ทางการผลิตในบริษัทต่างๆ ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ในบริษัทซาโต
ที่ซึ่งกอนโดศึกษา
!9
ความพยายาม[ของบริษัท]ที่จะสอดใส่รสชาดความเป็นครอบครัวเข้าไปในบริษัท ผ่านการ
จัดการท่องเที่ยวในบริษัท การให้ผลประโยชน์พิเศษแก่คนงาน การให้ของกำนัลแก่คนงาน
และการคัดเลือกคนงาน แสดงออกในอรรถาธิบายซึ่งถูกกำหนดขึ้นมาโดย กฎหมาย การ
สร้างอัตลักษณ์แห่งชาติและการเติบโตของทุนนิยม” (p. 161-162)
ภายใต้บริบทดังกล่าว บริษัทซาโตพายายามที่จะสอดใส่รสชาดความเป็นครอบครัวเข้าไป
ในบริษัท ด้วยการจัดเตรียมบริการเพื่อความจงรักภักดี และให้เงินสนับสนุนการจัด
กิจกรรมพิเศษ ซึ่งบริษัทหวังว่า จะเป็นการเสริมสร้างความภักดีต่อบริษัท ศัพท์แสงเกี่ยว
กับครอบครัว และการทำให้บริษัทเป็นภาพสะท้อนของเครือค่ายแห่งครัวเรือน ก็มีส่วน
กำหนดความสัมพันธ์ของบริษัทเองกับบริษัทอื่นๆ รวมทั้งกับบริษัทป้อนวัตถุดิบ ภายใน
สมาคมพ่อค้า และในความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างปัจเจกพ่อค้า (pp. 197-198)
คนงานคนหนึ่งหัวร่องอหายกับ[พฤติกรรมของ]เพื่อนร่วมงาน “คุณเห็นใช่ไหมว่าทุกคนบ่น
ด่ากับความถดถอยของจริยธรรมอย่างไร แต่เมื่อใดที่พวกเขากลับมาทำงาน พวกเขาก็มัก
จะพากันพูดกับพวกซุปเปอร์ไวเซอร์ว่า “ขอบคุณครับ ผมได้เรียนรู้มากมายจริงๆ” . . .
ทันใดนั้นเอง คนงานคนนี้ก็เปลี่ยนน้ำเสียง และกล่าวว่า “แต่ผมก็ดีใจนะที่ทำงานที่นี่ ผู้คน
พูดกันว่า ถ้าคุณได้ทำงานที่นี่ คุณก็จะสามารถทำที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น” (p. 216)
มโนทัศน์ว่าด้วยช่างฝีมือแรงงานขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างบุคคลกับโลก
ทางวัตถุ ช่างฝีมือดัดแปลงธรรมชาติด้วยความภาคภูมิใจ และมันยังสามารถที่จะมีความ
สัมพันธ์ที่อยู่บนความนับถือกัน ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์
กับวัตถุ และมนุษย์กับเครื่องมือ . . . เราสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่าง
มนุษย์และเครื่องจักร ได้แม้ในบริบทเล็กๆ ของ[การทำงานในระบบ]อุตสาหกรรม (pp.
244-245)
ผลที่สุด กอนโดสรุปไว้ในการถกเถียงเรื่องสภาวะแปลกแยกว่า
เมื่อเพ่งพินิจดูถึงแง่มุมที่มีความหมายอย่างยิ่งของงานในบริบทของช่างญี่ปุ่นแล้ว ชี้นำเรา
ไปสู่แนวทางต่างๆในการประมวลความคิดรวบยอด ว่าด้วยการก่อร่างสร้างตัวตนที่ถูก
ควบคุมในการทำงาน นอกจากนั้นมันยังท้าทายแนวทางการศึกษาก่อนหน้านี้ [ที่
เสนอ]ว่าการทำงานในสังคมอุตสาหกรรมมีลักษณะแยกส่วน แปลกแยก และหย่าห่างจาก
ธรรมชาติและโลกทางวัตถุ (p. 230)
สินค้าแปลกแยกจากมนุษย์และสังคม?
ตามทัศนะของมาร์กซ์ สินค้าเป็นอีกอาณาบริเวณหนึ่งที่เราจะพบสภาวะแห่งความแปลก
แยก มาร์กซ์แสดงทัศนะใน Capital I ว่ าสินค้ามีมูลค่าการใช้สอยและมูลค่ าแลกเปลี่ยน สินค้าจึง
ไม่ได้แปลกแยกอย่างสิ้นเชิงจากวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของมันกล่าวคือเพื่อการใช้สอย แต่เพื่อที่จะถูก
นำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอื่นๆ มาร์กซ์กล่าวใน Capital I ว่า “ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่นอกจากสิ่งที่
สินค้าทั้งมวลมีร่วมกัน สินค้าทั้งมวลถูกลดทอนลงเป็นหนึ่งและมีที่มาจากแรงงานชนิดเดียวกัน
เป็นแรงงานมนุษย์ที่เป็นนามธรรม” (p. 38) กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ว่า ตามทัศนะของมาร์กซ์ เพื่อ
ที่มันจะกลายเป็นสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ สินค้าจะต้องแปลกแยกออกจากเป้าประสงค์ดั้งเดิม
ของมัน พร้อมๆกับที่มันต้องแปลกแยกออกจากคุณลักษณะเฉพาะของแรงงาน ซึ่งจำเป็นสำหรับ
ผลิตสินค้าชนิดต่างๆอย่างเฉพาะเจาะจงไป จากทัศนะดังกล่าว แม้ว่าสินค้าจะไม่ได้ถูกนำเสนอใน
รูปของเงินตรา มันก็ได้สูญเสีย “ธรรมชาติ” ความเป็นมูลค่าใช้สอยไปแล้ว
อย่างไรก็ดี สำหรับอาร์จุน อพาดูไร ทัศนะต่อสินค้าดังกล่าวจำกัดความหมายของสินค้าอยู่
เพียงเฉพาะ “สินค้าจากโรงงาน (หรือบริการ) บางชนิด ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับอาณาบริเวณที่
ทุนนิยมสอดแทรกเข้าไป . . . โดยทั่วไปแล้ว สินค้ามักจะถูกมองว่าเป็นภาพตัวแทนทางวัตถุทั่วๆ
ไปของรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยม” (p. 7) แต่อพาดูไรเองเห็นต่างออกไปว่า
สินค้าคือสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะที่มีศักยภาพทางสังคม สินค้าเป็นสิ่งที่แยกออกมาได้จาก
“ผลผลิต” (product) “สิ่งของ” (object) “ผลิตภัณฑ์” (good) “สิ่งประดิษฐ์” (artifact) และ
สิ่งอื่นๆ แต่ทั้งนี้เฉพาะเมื่อมันอยู่ในบางการให้คุณค่าและจากบางมุมมอง” (p. 6)
เปลี่ยนกับสิ่งอื่นๆได้ของสิ่งของถูกจัดโดยกฎเกณฑ์บางอย่างที่ว่า ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถ
แลกกันได้หมด ในขณะที่สิ่งที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันสามารถจะแลกเปลี่ยนกันเองได้ สิ่งที่อยู่
ในอาณาบริเวณที่ต่างกันออกไปจะไม่ได้รับอนุญาตให้นำมาแลกเปลี่ยนกัน
บริบทของสินค้า คือสถานการณ์ที่สิ่งของจากต่างมาตรฐานทางวัฒนธรรมถูกนำมาแลก
เปลี่ยนกัน ของสิ่งหนึ่งอาจจะสามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนได้ในวัฒนธรรมเดียวกัน แต่ว่าในการ
แลกเปลี่ยนสิ่งของข้ามวัฒนธรรม ของสิ่งเดียวกันนี้อาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้แลกเปลี่ยนกัน หรือ
ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในมาตรฐานทางวัฒนธรรมที่ต่างกันของสิ่งของ แต่ในบางโอกาสบางพื้นที่
“บริบททางสังคมอาจจะเป็นสิ่งที่นำผู้กระทำการทางสังคม ผู้มาจากหลากหลายระบบวัฒนธรรมและ
มีความเข้าใจร่วมกันเกียวกับสิ่งเดียวกัน . . . ในระดับที่น้อยมาก แต่มีความเห็นร่วมกันเฉพาะเรื่อง
อัตราแลกเปลี่ยน เข้ามาพบกัน” (p. 15)
ต่อประเด็นต่างๆ ดังกล่าว อพาดูไรยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นช่วงชีวิตต่างๆ ของสิ่งของจาก
การพิจารณา “วัตถุทางศิลปะของนักท่องเที่ยว” (tourist art) ในการซื้อขายผลงานที่ชนพื้นเมือง
ผลิตขึ้นมาให้แก่นักท่องเที่ยวจากต่างวัฒนธรรม สิ่งของเหล่านี้ดั้งเดิมแล้ว “ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อ
สุนทรียะ การเฉลิมฉลอง หรือเพื่อการใช้อย่างทิ้งขว้างในสังคมขนาดเล็ก สังคมของที่คนอยู่ใกล้
ชิดกัน [แต่ต่อมา]ถูกแปลงในทางวัฒนธรรม ในทางเศรษฐกิจ และในทางสังคม โดยรสนิยม
ตลาด และอุดมการณ์ ของสังคมเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่า” (p. 26) กล่าวคือให้มาเป็นสินค้าที่ขายนัก
ท่องเที่ยวได้
ผลที่สุดแล้ว ในการพิจารณาสินค้าในบริบทของสังคมทุนนิยม อพาดูไรกล่าวว่า
เพราะฉะนั้น กระบวนการทำให้เป็นสินค้าจึงวางอยู่บนการปะทะกันอย่างซับซ้อนของปัจจัย
ทางด้านช่วงเวลา วัฒนธรรม และสังคม ในระดับที่สิ่งของบางอย่างในสังคมหนึ่งมักจะถูก
พบว่าอยู่ในช่วงหนึ่งของระยะแห่งสินค้า (commodity phase) ต้องตรงกับเกณฑ์ที่จำเป็น
ต่างๆของสินค้า (commodity candidacy) และปรากฏในบริบทของสินค้าอย่างหนึ่ง
(commodity context) สินค้าเหล่านั้นจึงเป็นสินค้าที่จำเป็นของสังคมนั้น ในระดับที่หลาย
สิ่งหลายอย่างหรือส่วนใหญ่ของสิ่งของในสังคมหนึ่งต้องตรงตามเกณฑ์ดังกล่าว สังคมนั้นก็
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสังคมที่มีความเป็นสินค้าสูง ในสังคมทุนนิยมสมัยใหม่ เราสามารถ
กล่าวอย่างมั่นใจได้ว่า สิ่งของส่วนมากจะประสบกับการอยู่ในบริบทอันหนึ่งของสินค้า และ
เกณฑ์ของการเป็นสินค้า ในอันที่จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกของสิ่งของ มากยิ่ง
กว่าในสังคมก่อนทุนนิยม แม้ว่ามาร์กซ์จะถูกต้อง ที่มองสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรมสมัย
ใหม่ ว่า[มัน]ก่อให้เกิดสังคมที่[สิ่งของ]ถูกทำให้กลายเป็นสินค้าอย่างเข้มข้นมากที่สุด [หาก
แต่]การเปรียบเทียบสังคมต่างๆด้วยการพิจารณาถึงระดับของ “การกลายเป็นสินค้า” จะ
เป็นวิธีการที่ซับซ้อนอย่างที่สุดในการให้นิยามสินค้าตามกรอบการศึกษาสินค้าในที่นี้ ด้วย
นิยามนี้ [มโนทัศน์]“สินค้า”ถูกใช้ . . . เพื่อที่จะระบุถึง สิ่งของต่างๆที่ ณ ช่วงเวลาที่
เฉพาะช่วงหนึ่ง ในบทบาทหน้าที่เฉพาะของมัน และในบริบทเฉพาะอย่างหนึ่ง ได้
ประจวบกันกับสาระที่จำเป็นของเกณฑ์การเป็นสินค้า (pp. 15-16)
!13
เรื่องความแปลกแยกด้วยการให้ความสำคัญต่อความสลับซับซ้อนของความแปลกแยก แสดงให้
เห็นถึงการที่เราจะต้องระมัดระวัง ไม่ด่วนสรุปอย่างฟันธงลงไปว่า ในสังคมทุนนิยม/โลกาภิวัตน์
มนุษย์ตกอยู่ในสภาวะแปลกแยกอย่างสิ้นเชิง จากการศึกษาวัฒนธรรมเปรียบเทียบ จะเห็นว่า
ความแปลกแยกเป็นสภาวะที่ซับซ้อนและกำกวมกว่าที่มาร์กซ์เสนอไว้
สำหรับจูน แนช คนงานเหมื องตกอยู่ใต้ภาวะความแปลกแยกหลายๆ ด้านที่ไม่สามารถจะ
ปลีกตัวออกมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนชยังมองว่าความแปลกแยกในระดับของ “ทุน” ที่ถูก
ถ่ายโอนจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆหรือประเทศอื่นๆ เป็นความแปลกแยก
ที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง แต่ทว่า ประเด็นที่เธอไม่เห็นด้วยกับมาร์กซ์เป็นอย่างยิ่ง คือประเด็นว่าด้วย
ความเป็ น ชุ ม ชนในที่ พั ก คนงานเหมื อ งและความรู้ สึ ก ที่ ค นงานเหมื อ งมี ต่ อ เหมื อ งแร่ ใ นฐานะสิ่ ง
ศักดิ์สิทธิ์ สังคมที่พักคนงานและความศักดิ์สิทธิ์ของเหมืองแร่ ดูจะเป็น “ทางเลือก” ประการหนึ่งที่
จะทำให้คนงานสามารถปลีกตัวออกมาจากความแปลกแยก สำหรับดอรีน กอนโด วิธีที่เธอตั้ง
ประเด็นเกี่ยวกับความแปลกแยกก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่ยอมรับถึงการที่คนงานโรงงานยังเผชิญกับ
ภาวะแปลกแยก หากแต่เพราะเหตุที่คนงานยังคงมองตนเองในฐานะที่เป็นคนงานที่แปลกแยกจาก
แรงงานและผลผลิตของตนเอง การที่พวกเขา “ประดิษฐ์ตัวตน” ของตนเองทั้งที่เหมือนกับและต่าง
ไปจากอุดมการณ์ครอบครัวของบริษัทและอุดมการณ์ช่างฝีมือของคนงาน จึงเป็นการแกว่งไปมาระ
หว่างการเป็นคนงานที่แปลกแยกกับไม่แปลกแยก คนงานจึงไม่สามารถนิยามตนเองอย่างชัดเจน
ตายตัวได้ว่าตนเองเข้าใจภาวะความแปลกแยกของตนเองอย่างไร ส่วนอาร์จุน อพาดูไร แทนที่จะ
ยอมรับโดยสิ้นเชิงว่า มูลค่าแลกเปลี่ยนของสินค้าเป็นเพียงวิธีเดียวที่สังคมทุนนิยมให้คุณค่าต่อ
สิ่งของหรือผลผลิต อพาดูไรเสนอให้พิจารณาถึงรูปแบบอื่นๆของกรอบการให้คุณค่าแก่สิ่งของ
กรอบกำหนดคุ ณ ค่ า สิ่ ง ของที่ อ พาดู ไ รพบจากสั ง คมวั ฒ นธรรมต่ า งๆ ได้ แ ก่ บ ริ บ ททางสั ง คม
ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่มนุษย์ในวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจแบบต่างๆ รวมทั้งมนุษย์ในสังคม
ทุนนิยมปัจจุบัน ใช้ในการจัดประเภทสินค้า ในขณะเดียวกัน ในแง่ของความแปลกแยก ข้อสรุป
ดังกล่าวเป็นการชี้แนะว่า ภาวะความแปลกแยกในแง่ของการบริโภคมูลค่าแลกเปลี่ยนมีอิทธิพล
ครอบงำสังคมปัจจุบันเพียงในระดับหนึ่ง ในช่วงชีวิตหนึ่งของสิ่งของหรือในบางกรณีของการแลก
เปลี่ยนเท่านั้นที่สิ่งของถูกทำให้กลายเป็นสินค้า
กระนั้นก็ตาม ผู้เขียนคิดว่า นักมานุษยวิทยาเหล่านี้ไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอเรื่องความแปลก
แยกของมาร์กซ์โดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมองความแปลกแยกอย่างซับซ้อน พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ไม่มีความแปลกแยกในสังคมทุนนิยม แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การชี้ให้เห็นว่า ในความซับซ้อนและ
กำกวมของสภาวะแปลกแยกนั่นเอง ที่มนุษย์ในสังคมทุนนิยม/โลกาภิวัตน์จะมีที่ว่างสำหรับการ
ต่อสู้ ต่อต้าน ขัดขืนต่อการครอบงำของสภาวะแปลกแยก ในแง่นี้ หนทางที่จะพ้นไปจากความ
แปลกแยกของสังคมทุนนิยม/โลกาภิวัตน์จึงไม่จำเป็นที่จะต้องถูกจำกัดอยู่เฉพาะการรื้อฟื้น และส่ง
เสริมวัฒนธรรมชุมชน ชีวิตนอกวัฒนธรรมชุมชนในท้องถิ่นชนบทของผู้ใช้แรงงานและผู้บริโภค
อาจจะไม่ได้ไร้ค่า ไร้ความหมาย หรือเป็นภาวะวิกฤตที่มนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าได้
หากแต่มันยังมีช่องทางเล็กๆ ยังมีพื้นที่ “เล็กน้อย” ที่มีความหมาย ที่มนุษย์จะยังดำเนินชีวิตอย่าง
มีคุณค่าได้
!15
Marx, Karl. Capital: A critique of political economy vol I. New York: International Publishers,
1973.
Marx, Karl. Pre-capitalist economic formations. New York: International Publishers, 1989.
Marx. Karl. The Grundrisse.edited and translated by David McLellan. New York: Harper
&Row, 1971.
Marx. Karl. Selected Writings. edited by L. H. Simon. Indianapolis: Hackett Publishing
Company, 1994.
Nash, June. We Eat the Mines and the Mines Eat Us. New York: Columbia University
Press, 1993.
Kondo, Dorinne K. Crafting Selves. Chicago: University of Chicago Press, 1990.
Appadurai, Arjun. ‘Introduction: Commodities and the politics of value’ in The Social Life of
Things, A. Appadurai ed.