Académique Documents
Professionnel Documents
Culture Documents
หนา
บทนํา
ความสามารถของ Microsoft Access 2002 1
ฐานขอมูลเชิงสัมพันธสัมพันธ (Relational Database) 3
ขั้นตอนการออกแบบฐานขอมูล Microsoft Access 2002 6
องคประกอบของ Microsoft Access 2002 11
ขั้นตอนการสรางตาราง (Table) 19
ปฏิบัติการครั้งที่ 1
การสรางฐานขอมูล 20
การกําหนดโครงสรางตารางและองคประกอบของฟลด 25
ภาคผนวก : โครงสรางตาราง 40
ปฏิบัติการครั้งที่ 2
การเชื่อมความสัมพันธระหวางตาราง 44
การกรอกขอมูลใน Datasheet 50
ปฏิบัติการครั้งที่ 3
ประเภทและมุมมองในการสราง Query 53
การสราง Query จากตารางเดียว 54
การสราง Query จาก 2 ตารางขึ้นไป 65
การเพิ่มความสามารถใหกับ Query 67
ปฏิบัติการครั้งที่ 4
ประเภทของ Form 77
คอนโทรล (Controls) 78
การสราง Form ดวย Form Wizard 80
การสรางคอนโทรล 86
ปฏิบัติการครั้งที่ 5
องคประกอบ, มุมมอง และประเภท Report 101
การสราง Report ดวย Report Wizard 103
บรรณานุกรม 115
บทนํา
Microsoft Access 2002 ภาคทฤษฎี
Database Design
Data Entry Form
Query
Report
Present to Web Page
Additional Programming
Database Tools
2
Microsoft Access สามารถกลั่นกรองขอมูล และวิเคราะหขอมูลผาน Pivot View
และ Pivot Chart ไดเชนเดียวกับการใชงาน Microsoft Excel
¾ การทํา Redo และ Undo ไดหลายระดับ Microsoft Access เพิ่มความสามารถใน
การทํา Redo เพื่อทําซ้ํา และการทํา Undo เพื่อยอนกลับ ไดหลายระดับและมากกวา
เวอร ชั น เดิ ม แม ว าผู ใ ช ง านจะบั น ทึ ก การเปลี่ ย นแปลงไปแล ว ก็ ต าม โปรแกรมก็
สามารถยอนคืนการทํางานได ซึ่งชวยใหผูใชทํางานไดอยางสะดวกมากยิ่งขึ้น
¾ การสราง SubForm และ SubReport ได Microsoft Access สามารถจัดการกับ
ฟอรมและรายงานตางๆ ตามกลุมผูใชไดอยางมีประสิทธิภาพ
3
3. Relationship (ความสัมพันธ) หมายถึง ความสัมพันธระหวางเอนทิตี ซึ่งถือเปนสวน
สําคัญของฐานขอมูลเชิงสัมพันธ โดยทําหนาที่เชื่อมโยงขอมูลระหวางเอนทิตีตางๆ ที่สัมพันธกัน โดย
ใชแอตทริบิวตที่เหมือนกัน (มีคาตรงกัน) เปนตัวเชื่อมความสัมพันธ ซึ่งเราสามารถแบงความสัมพันธ
ไดเปน 3 ประเภท คือ
¾ ความสัมพันธแบบ 1:1 (One to One Relationship)
ความสัมพันธแบบ 1:1 เปนความสัมพันธที่จัดการงายที่สุด เนื่องจากมี
ความซับซอนนอยที่สุด แตพบไดยากที่สุดในฐานขอมูลเชิงสัมพันธ ความสัมพันธ
แบบนี้มีลักษณะดังนี้คือ ขอมูลของเอนทิตีหนึ่งมีความสัมพันธกับขอมูลอีกเอนทิตี
หนึ่ ง ได เ พี ย งข อ มู ล เดี ย วเท า นั้ น ในลั ก ษณะที่ เ ป น หนึ่ ง ต อ หนึ่ ง เช น ธนาคาร
กําหนดใหลูกคาแตละคนสามารถเปดบัญชีไดเพียงบัญชีเดียวเทานั้น และแตละบัญชี
มีเจาของบัญชีเพียงคนเดียวเทานั้น เปนตน
¾ ความสัมพันธแบบ 1:M (One to Many Relationships)
ความสัมพันธแบบ 1:M เปนความสัมพันธที่พบบอยที่สุดในฐานขอมูลเชิง
สัมพันธ ความสัมพันธแบบนี้มีลักษณะดังนี้คือ ขอมูลของเอนทิตีหนึ่งมีความสัมพันธ
กับขอมูลอีกเอนทิตีหนึ่งไดในหลายขอมูล เชน ธนาคารกําหนดใหลูกคาแตละคน
สามารถเปดบัญชีไดตั้งแต 1บัญชีขึ้นไป และแตละบัญชีมีเจาของบัญชีไดเพียงคน
เดียวเทานั้น เปนตน
¾ ความสัมพันธแบบ M:N (Many to Many Relationships)
ความสัมพันธแบบ M:N เปนความสัมพันธที่พบไมบอยนัก เนื่องจากมีความ
ซับซอนมากกวาความสัมพันธแบบ1:M ความสัมพันธแบบนี้มีลักษณะดังนี้คือ ขอมูล
ของเอนทิตีหนึ่ง (หลายขอมูล) มีความสัมพันธกับขอมูลอีกเอนทิตีหนึ่งไดในหลาย
ขอมูล ซึ่งความสัมพันธของขอมูลทั้งสองเอนทิตีจะมีลักษณะเปนแบบกลุมตอกลุม
เชน ธนาคารกําหนดใหลูกคาแตละคนสามารถเปดบัญชีไดตั้งแต 1บัญชีขึ้นไป และ
แตละบัญชีมีเจาของบัญชีไดมากกวา 1คน เปนตน
4
นักศึกษาแตละคนมีรหัสประจําตัวที่แตกตางกัน จึงเลือกใช Attribute รหัสประจําตัว
นึกศึกษาเปนคียหลัก (Primary Key)
¾ Candidate Key (คียคูแขง)
คือ Attribute ที่มีคุณสมบัติเปนคียหลัก (Primary Key) ตั้งแต 1 Attribute
ขึ้นไป โดยปกติแลวนิยมเลือก Candidate Key ที่มีคาขอมูลสั้นที่สุดมาเปน Primary
Key
เชน Entity นักศึกษา มทส ประกอบดวย Attribute รหัสประจําตัวนักศึกษา
รหั ส ประจํ าตั ว บั ต รประชาชน ชื่ อ -นามสกุ ล วั น เดื อ นป เ กิ ด สํ านั ก วิ ช า สาขาวิ ช า
อาจารยที่ปรึกษา เกรดเฉลี่ยสะสม จากการพิจารณาจะพบวา Attribute รหัส
ประจําตัวนักศึกษา และ Attribute รหัสประจําตัวบัตรประชาชน สามารถใชเปนคีย
หลัก (Primary Key) ได
ดังนั้น Entity นักศึกษา มทส มี Attribute ที่เปน Candidate Key ซึ่ง
สามารถใชเปนคียหลัก (Primary Key) ได 2 Attribute ไดแก Attribute รหัส
ประจําตัวนักศึกษา และ Attribute รหัสประจําตัวบัตรประชาชน
¾ Composite Key (คียรวม)
คือ Attribute ตั้งแต 2 Attribute ขึ้นไปรวมกันเพื่อใหมีคุณสมบัติเปนคีย
หลัก (Primary Key) เนื่องจากหากใชเพียง Attribute ใด Attribute หนึ่ง อาจทําให
เกิดความซ้ําซอนของขอมูลได หรือขาดคุณสมบัติการเปนคียหลัก
¾ Foreign Key (คียนอก)
คือ Attribute ที่ใชในการเชื่อมตอกับ Entity อื่นเพื่อแสดงความสัมพันธ
ระหวาง Entity โดยคียนอกนี้สามารถมีคาซ้ํากันหรือเปนคาวาง (Not Null) ได
เชน ฐานขอมูลนักศึกษา ประกอบดวย
- Entity นักศึกษา ประกอบดวย รหัสประจําตัวนักศึกษา ชือ่ -นามสกุล
วันเดือนปเกิด สํานักวิชา สาขาวิชา
รหัสอาจารยที่ปรึกษา เกรดเฉลี่ยสะสม
- Entity อาจารยที่ปรึกษา ประกอบดวย รหัสอาจารยที่ปรึกษา
ชือ่ -นามสกุล สํานักวิชา สาขาวิชา
จากการพิจารณาพบวา Attribute รหัสอาจารยที่ปรึกษา ของ Entity
อาจารยที่ปรึกษาเปนคียหลัก และปรากฏใน Entity นักศึกษา ซึ่งสรุปไดวา Attribute
รหัสอาจารยที่ปรึกษา ของ Entity นักศึกษา เปนคียนอก (Foreign Key) เพื่อใชใน
การเชื่อมความสัมพันธของขอมูลระหวาง Entity อาจารยที่ปรึกษาเขากับ Entity
นักศึกษา
5
1. Table (ตาราง) หมายถึง แหลงเก็บรวบรวมขอมูลที่มีความสัมพันธกันอยางเปนระบบใน
ฐานขอมูล โดยแตละตารางจะประกอบดวย คอลัมน (Column) ซึ่งเปนแนวตั้งของตาราง เรียกวา
“ฟลด” (Field) และ แถว (Row) ซึ่งเปนแนวนอนของตาราง เรียกวา “เรคคอรด” (Record)
2. Record (เรคคอรด) หมายถึง กลุมหรือชุดของฟลดที่อยูแถวเดียวกันในตารางตาม
แนวนอน เชน ตารางนักศึกษา มทส ประกอบดวย ชุดขอมูลนักศึกษา มทส ซึ่งแตละเรคคอรดก็จะมี
ความขอมูลที่แตกตางกันไป เปนตน
3. Field (ฟลด) หมายถึง กลุมของขอมูลที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติของเรคคอรด เชน ตาราง
นั ก ศึ ก ษา มทส ประกอบด ว ย รหั ส ประจํ า ตั ว นั ก ศึ ก ษา ชื่ อ -นามสกุ ล วั น เดื อ นป เ กิ ด สํ า นั ก วิ ช า
สาขาวิชา อาจารยที่ปรึกษา เกรดเฉลี่ยสะสม เปนตน
Table นักศึกษา
รหัส ชื่อ-นามสกุล สาขาวิชา สํานักวิชา GPAX
ประจําตัว
B1111111 นายนอย คงดี เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสังคม 3.23
B2222222 น.ส.ขยัน มากลน อนามัยสิ่งแวดลอม แพทยศาสตร 3.11 เรคคอรด
B3333333 น.ส.บุญพรอม มีดี เทคโนโลยีผลิตสัตว เทคโนโลยีการเกษตร 3.59 (Record)
B4444444 นายรักเรียน รอบรู วิศวกรรมศาสตรโยธา วิศวกรรมศาสตร 3.99
ฟลด (Field)
ตัวอยางที่ 1 ตารางนักศึกษา
การออกแบบฐานขอมูลเปนขั้นตอนที่ตองทํากอนการสรางฐานขอมูล และถือเปนขั้นตอนที่มี
ความสําคัญเปนอยางยิ่ง เนื่องจากถาออกแบบฐานขอมูลไมดีหรือผิดพลาดจะสงผลกระทบตอการ
จัดการขอมูลในฐานขอมูล รวมถึงการสืบคนขอมูลจากฐานขอมูลอาจเกิดความผิดพลาดไดเชนเดียวกัน
ขั้นตอนการออกแบบฐานขอมูลมีตอไปนี้
1. การกําหนดวัตถุประสงคในการออกแบบฐานขอมูล
2. การกําหนดองคประกอบของฐานขอมูล
3. การกําหนดองคประกอบของตาราง
4. การกําหนดความสัมพันธระหวางตารางตางๆ ในฐานขอมูล
1. การกําหนดวัตถุประสงคในการออกแบบฐานขอมูล
กอนที่จะสรางฐานขอมูลตองมีการกําหนดกอนวาจะสรางฐานขอมูลขึ้นมาเพื่อใชใน
งานใด และมี วั ต ถุ ป ระสงค ใ นการสร า งฐานขอ มู ล อย า งไร เพื่ อ ที่ จ ะได ท ราบถึง ข อ มู ล ที่ จ ะ
6
รวบรวมและจั ด เก็ บ ในฐานข อ มู ล รวมถึ ง เป น การกํ า หนดโครงร า งของฐานข อ มู ล ด ว ย
เชนเดียวกัน ในการรวบรวมขอมูลนั้นเราสามารถกระทําไดหลายวิธี เชน การรวบรวมขอมูล
จากเอกสารหรือรายงาน การสอบถามผูใชงาน หรือการสังเกตการทํางานของระบบงานเดิม
(กรณีที่ตองการพัฒนาฐานขอมูลเพื่อใชในการทํางานและปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางาน)
ซึ่งจะทําใหไดรับขอมูลที่ถูกตองและครบถวน
ตัวอยาง สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักวิชาเทคโนโลยีสังคม มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีสุรนารี ตองการสรางฐานขอมูลเพื่อจัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษา
จากสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับบัณฑิตที่เปนปจจุบันมากที่สุด
และใชในการติดตอกับบัณฑิตของสาขาวิชา ซึ่งสามารถรวบรวมขอมูลไดจากเอกสารและ
ติดตอขอขอมูลจากบัณฑิตแตละคนไดทางจดหมาย
2. การกําหนดองคประกอบของฐานขอมูล
เมื่ อ รวบรวมข อ มู ล ที่ ต อ งการจั ด เก็ บ ในฐานข อ มู ล ได แ ล ว ขึ้ น ตอนต อ ไปคื อ การ
วิเคราะหและกําหนดองคประกอบของฐานขอมูลวา ภายในฐานขอมูลที่พัฒนาขึ้นประกอบดวย
ตารางอะไรบาง และแตละตารางมีความสัมพันธเกี่ยวของกันอยางไร ซึ่งในขึ้นตอนนี้อาจใช
การรางลงในกระดาษคราวๆ กอน ซึ่งมีขั้นตอนดังตอไปนี้
1. การวิเคราะหขอมูลที่เก็บรวมรวมได พบวามีขอมูลดังตอไปนี้ที่ควรจัดเก็บไวใน
ฐานขอมูลบัณฑิต ไดแก รหัสบัณฑิต ชื่อ-นามสกุล ที่อยู หมายเลขโทรศัพท E-mail ภาพถาย
ของบัณฑิต หลักสูตรที่สําเร็จการศึกษา ปที่สําเร็จการศึกษา ตําแหนงงาน ชื่อที่ทํางาน ที่อยูที่
ทํางาน หมายเลขโทรศัพทที่ทํางาน หมายเลขโทรสารที่ทํางาน e-mail ที่ทํางาน
2. การจําแนกขอมูลไดเปนกลุมดังนี้
- ขอมูลบัณฑิต ประกอบดวย รหัสบัณฑิต ชื่อ-นามสกุล ที่อยู หมายเลข
โทรศัพท E-mail ภาพถายของบัณฑิต
หลักสูตรที่สําเร็จการศึกษา ปที่สําเร็จการศึกษา
- ขอมูลที่ทํางาน ประกอบดวย ตําแหนงงาน ชื่อที่ทํางาน ที่อยูที่ทํางาน
หมายเลขโทรศัพท หมายเลขโทรสารที่ทํางาน
e-mail ที่ทํางาน
3. กําหนดองคประกอบของฐานขอมูล กอนกําหนดองคประกอบของฐานขอมูล
จะตองมีการทํานอรมัลไลซ (Normalization) คือการจัดกลุมขอมูลตางๆ ใหมีความสมบูรณ
และลดความซ้ําซอนของขอมูล รวมถึงการเชื่อมกลุมขอมูลตางๆ ใหเปนระบบ สัมพันธและ
สอดคลองกัน ซึ่งจากการทํานอรมัลไลซแลวจะไดตารางดังตอไปนี้
- ตารางบัณฑิต จัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับบัณฑิตสาขา ซึ่งจัดเก็บขอมูลดังตอไปนี้
- รหัสบัณฑิต - ชื่อ-นามสกุล
- ที่อยู - หมายเลขโทรศัพท
- E-mail - ภาพถายบัณฑิต
- รหัสหลักสูตร - ปที่สําเร็จการศึกษา
- ตําแหนงงาน - รหัสที่ทํางาน
7
- ตารางบริษัท จัดเก็บขอมูลเกี่ยวบริษัทที่บัณฑิตทํางาน ซึ่งจัดเก็บขอมูลดังตอไปนี้
- รหัสที่ทํางาน - ชื่อที่ทํางาน
- ที่อยู - หมายเลขโทรศัพท
- หมายเลขโทรสาร - E-mail
- ตารางหลั ก สู ต ร จั ด เก็ บ ข อ มู ล เกี่ ย วกั บ หลั ก สู ต รสาขาเป ด สอน และใช ใ นการ
เชื่อมโยงกับขอมูลบัณฑิต (หลักสูตรที่สําเร็จการศึกษา) ซึ่งจัดเก็บขอมูล
- รหัสหลักสูตร - ชื่อหลักสูตร
3. การกําหนดองคประกอบของตาราง
การกําหนดองคประกอบของตาราง เป นการกําหนดวาตารางประกอบดวยฟล ด
ใดบาง แตละฟลดจัดเก็บขอมูลประเภทใด และมีคุณสมบัติอยางไร รวมถึงการกําหนดคียหลัก
ซึ่งจากตัวอยางพบวามี 3 ตารางไดแก ตารางบัณฑิต ตารางบริษัท และตารางหลักสูตร ซึ่งแต
ละตารางมีองคประกอบภายในที่แตกตางกัน ดังนี้
ตารางบัณฑิต
ชื่อฟลด ประเภทขอมูล คําอธิบาย
GradID Text (ขนาด 8 ตัวอักษร) รหัสบัณฑิต
GradName Text (ขนาด 100 ตัวอักษร) ชื่อ-นามสกุล
GradAddress Text (ขนาด 255 ตัวอักษร) ที่อยู
GradTel Text (ขนาด 9 ตัวอักษร) หมายเลขโทรศัพท
GradEmail Text (ขนาด 50 ตัวอักษร) E-mail
GradPic OLE Object ภาพถายบัณฑิต
MajorID Text (ขนาด 2 ตัวอักษร) รหัสหลักสูตร
GradDate Text (ขนาด 4 ตัวอักษร) ปที่สําเร็จการศึกษา
GradPosition Text (ขนาด 100 ตัวอักษร) ตําแหนงงาน
CompID Text (ขนาด 2 ตัวอักษร) รหัสที่ทํางาน
ตารางบริษัท
ชื่อฟลด ประเภทขอมูล คําอธิบาย
CompID Text (ขนาด 2 ตัวอักษร) รหัสที่ทํางาน
CompName Text (ขนาด 100 ตัวอักษร) ชื่อที่ทํางาน
CompAddress Text (ขนาด 255 ตัวอักษร) ที่อยู
CompTel Text (ขนาด 9 ตัวอักษร) หมายเลขโทรศัพท
CompFax Text (ขนาด 9 ตัวอักษร) หมายเลขโทรสาร
CompEmail Text (ขนาด 50 ตัวอักษร) E-mail
8
ตารางหลักสูตร
ชื่อฟลด ประเภทขอมูล คําอธิบาย
MajorID Text (ขนาด 2 ตัวอักษร) รหัสหลักสูตร
MajorName Text (ขนาด 100 ตัวอักษร) ชื่อหลักสูตร
4. การกําหนดความสัมพันธระหวางตารางตางๆ ในฐานขอมูล
เมื่ อ กํ า หนดองค ป ระกอบของตารางเสร็ จ แล ว ขั้ น ตอนต อ ไปก็ คื อ การกํ า หนด
ความสัมพันธระหวางตารางในฐานขอมูล จากการออกแบบจะพบวามีทั้งหมด 3 ตาราง คือ
ตารางบั ณ ฑิ ต ตารางหลั ก สู ต ร และตารางบริ ษั ท ซึ่ ง ทั้ ง สามตารางเกี่ ย วข อ งและมี
ความสัมพันธกันกลาวคือ
- ตารางหลักสูตรมีความสัมพันธกับตารางบัณฑิต
- ฟลดรหัสหลักสูตร (MajorID) ของตารางหลักสูตรมีความสัมพันธกับฟลด
รหัสหลักสูตร (MajorID) ของตารางบัณฑิต และมีรูปแบบความสัมพันธ
เปนแบบ 1: M เนื่องจากแตละหลักสูตรผลิตบัณฑิตอยางมากกวา 1 คน
- ตารางบริษัทมีความสัมพันธกับตารางบัณฑิต
- ฟลดรหัสบริษัท (CompID) ของตารางบริษัทมีความสัมพันธกับฟลดรหัส
บริษัท (CompID) ของตารางบัณฑิต และมีรูปแบบความสัมพันธเปนแบบ
1: M เนื่องจากบัณฑิตทํางานในบริษัท 1 บริษัท บางบริษัทอาจมีบัณฑิต
ของสาขาทํางานมากกวา 1คน
ภาพแสดงความสัมพันธระหวางตาราง ฐานขอมูลบัณฑิตสาขาวิชาเทคโลยีสารสนเทศ
9
องคประกอบของ Microsoft Access 2002
สวนประกอบของจอภาพ
เมื่อเรียกใชโปรแกรม Access โดยการ Double Click ที่ไอคอน Access จะปรากฏ
หนาตาง Microsoft Access และเมื่อเลือกที่จะสรางหรือเปดฐานขอมูล จะปรากฏหนาตาง
ฐานขอมูล (Database Window) ดังภาพ
ภาพแสดงสวนประกอบของจอภาพ
10
ปุมคําสั่ง New หมายถึง สรางตารางใหม
ปุมคําสั่ง Open หมายถึง เปด Datasheet ขึ้นมากรอกขอมูล
ปุมคําสั่ง Design หมายถึง กําหนดโครงสรางตาราง
7. แถบสถานะ (Status Bar) แสดงขอความตางๆ เกี่ยวกับสถานะการทํางาน เชน
Caps Lock, Num Lock เปนตน
คุณสมบัตติ า งๆ ของฟลด
กอนสรางตารางตองทําความเขาใจเกี่ยวกับคุณสมบัติตางๆ ของฟลดกอน เพื่อการ
กําหนด โครงสรางของตารางจะไดไมตองแกไขไปแกไขมา ซึ่งจะมีผลกระทบกับขอมูลที่
กรอกไปแลว เพราะหากคุณสมบัติของฟลดเปลี่ยนไป ขอมูลก็จะเปลี่ยนไปหรืออาจสูญหายได
11
ภาพแสดงหนาตางการกําหนดโครงสรางของตาราง (คุณสมบัติของฟลด)
12
ประเภทขอมูล ขนาด ชนิดของขอมูล / คําอธิบาย
Text 255 ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวเลข และเครื่องหมายตางๆ ที่ไมไดใชในการ
คํานวณ
Memo 65,635 ตัวอักษร ตัวอักษร ตัวเลข และเครื่องหมายตางๆ ที่ใชในการ
อธิบาย บันทึก หรือหมายเหตุ
Number 8 ไบต ตัวเลขที่ใชในการคํานวณ ทั้งจํานวนเต็มและทศนิยม
Date/Time 8 ไบต วัน เดือน ป ระหวางปที่ 100 ถึงปที่ 9999 และเวลา
Currency 8 ไบต ตัวเลขที่ใชในการคํานวณ และตัวเลขที่เกี่ยวกับสกุลเงิน
โดยเก็ บ ตั ว เลขจํ า นวน 15 หลั ก (ตั ว เลขหน า ทศนิ ย ม)
และเก็บตัวเลขทศนิยมไมเกิน 4 ตําแหนง
Auto Number 4 ไบต, 16 ไบต คาลําดับที่เพิ่มในตารางโดยอัตโนมัติและไมซ้ํากัน เมื่อมี
การเพิ่มเรคคอรดใหมในตาราง
Yes/No 1 บิต ขอมูลเชิงตรรกะที่เปนไปไดเพียง 2 คา เชน True/False,
On/Off หรือ Yes/No
OLE Object 1 กิกะไบต วัตถุ (Object) หรือสิ่งอื่นๆ ที่สรางขึ้นจากโปรแกรมอื่นๆ
เชน รูปภาพ เสียง หรือแฟมเอกสาร เปนตน
Hyperlink 2,048 ตัวอักษร ขอความ หรือรูปแบบของขอความที่ใชสําหรับเชื่อมโยง
ไปสูขอมูลอื่นๆ หรือการเชื่อมโยงในรูปแบบเว็บเพจ
Lookup Wizard ขนาดเทากับคียหลัก ขอมูลที่ดึงมาจากตารางอื่นที่เชื่อมความสัมพันธกัน
ของตารางที่ดึงขอมูล
มาใชงาน
3. คําอธิบายเพิ่มเติม (Description)
สวนของการอธิบายรายละเอียดของชื่อฟลดนั้นเพื่อเพิ่มเติมใหชัดเจนขึ้น
เชน Field ชื่อ EmpName ใน Description จะมีคําอธิบายเพิ่มเติมวา “ชื่อของ
พนักงานในบริษัท ความยาวไมเกิน 25 ตัวอักษร” เปนตน ขอความนี้จะปรากฏที่
แถบสถานะดานลาง (Status bar) เมื่อคลิกเลือกฟลดนี้ใน Form
13
คุณสมบัติฟลด ความหมาย คําอธิบาย
Input Mark รูปแบบการรับคาขอมูล รูปแบบในการรับคา หรือบันทึกคาขอมูลลงในฟลด
Caption ชื่อฟลดเพิ่มเติม ชื่อฟลดที่ใชแสดงแทนชื่อฟลดที่กําหนดไวในตาราง
Validation Text ขอความเตือนในการ ขอความเตือน กรณีที่ผูใชบันทึกคาขอมูลในฟลดนั้น
รับคาขอมูล ไมถูกตอง หรือไมตรงตามกฎเกณฑที่กําหนดไว
Required ความตองการขอมูล การบั ง คั บ ให ผู ใ ช บั น ทึ ก ค าข อ มู ล ลงในฟ ล ด ต ามที่
ของฟลด กําหนดไว
Allow Zero Length การยกเวนการบันทึก การกําหนดใหฟลดนั้นๆ ไมตองบันทึกคาขอมูลได
คาขอมูลในฟลด (การทําใหเปนคาวาง (คา Null))
Indexed การกําหนดดรรชนี การกําหนดดรรชนีใหกับ ฟลดนั้น ๆ เพื่อใชในการ
ใหกับฟลด คนหาขอมูล หรือการเรียงลําดับขอมูล
Field Size
การกําหนดขนาดของฟลด ใชกับฟลดที่มีประเภทขอมูล (Data Type) เปน
แบบ Text, Number และ Auto Number เทานั้น ซึ่งประเภทขอมูลแตละชนิดมี
รายละเอียดในการกําหนดขนาดของฟลดดังนี้
1. Data Type ประเภท Text
โปรแกรมกํ า หนดขนาดความยาวตั้ ง ต น ไว ที่ 50 ตั ว อั ก ษร แต
สามารถกําหนดใหมไดตั้งแต 0 – 255 ตัวอักษร
2. Data Type ประเภท Number
โปรแกรมกําหนดแบบ Number ไวที่ Long Integer (คาตัวเลข
จํานวนปกติ) แตสามารถกําหนดใหมใหเปนแบบตางๆ ได ดังนี้
14
3. Data Type ประเภท Auto Number
โปรแกรมกําหนดแบบ Auto Number ไวที่ Long Integer (คา
ตัวเลขจํานวนปกติ) แตสามารถกําหนดใหมใหเปนแบบตางๆ ได ดังนี้
รูปแบบ ขนาด คําอธิบาย
Long Integer 4 ไบต จํานวนเต็มที่เพิ่มขึ้นที่ละ 1 หรือจากการสุม
Replication ID 16 ไบต ตัวเลขผสมกับตัวอักษร (Globally unique identifier (GRID))
Format
การกําหนดรูปแบบของฟลด ใชกับฟลดที่มีประเภทขอมูล (Data Type) ทุก
ประเภท แตที่นิยมกําหนดรูปแบบของฟลดไดแกขอมูลประเภท Text, Number,
Currency, Date/Time และ Yes/No ซึ่งประเภทขอมูลแตละชนิดมีรายละเอียดในการ
กําหนดขนาดของฟลดดังนี้
1. Data Type ประเภท Text
สัญลักษณ คําอธิบาย ตัวอยาง
@ แทนอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมาย 1 ตัว รูปแบบ @@-@@@
กรณีที่ไมปอนคาขอมูล โปรแกรมจะกําหนดใหตําแหนงนั้น ผลลัพธ 12-345
เปนคาวาง (Null) 01-234
& แทนอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมาย 1 ตัว รูปแบบ &&-&&&
กรณีที่ไมปอนคาขอมูล โปรแกรมจะไมกําหนดใหตําแหนงนั้น ผลลัพธ 1-234
เปนคาวาง (Null) -123
< ตัวอักษรทุกตัวแสดงเปนตัวพิมพเล็ก DATABASE
> ตัวอักษรทุกตัวแสดงเปนตัวพิมพใหญ database
15
รูปแบบ คําอธิบาย ตัวอยาง
Percent รูปแบบคาเปอรเซ็นต โดยหารคาที่ปอนขอมูลดวย 100 แลว 99.00%
เติ ม เครื่ อ งหมาย % ไว ด านหลั ง ตั ว เลข และมี ตั ว เลขหลั ง จุ ด
ทศนิยม 2 ตําแหนง
Scientific รูปแบบตัวเลขมาตรฐานทางวิทยาศาสตร 9.99E+03
Decimal Place
การกําหนดตําแหนงตัวเลขหลังจุดทศนิยม ใชกับฟลดที่มีประเภทขอมูล
(Data Type) ประเภท Number, Currency ซึ่งโปรแกรมกําหนดมาใหเปนแบบ Auto
(ทศนิยม 2 ตําแหนง) แตผูใชสามารถแกไขได โดยโปรแกรมกําหนดใหมีทศนิยมได
ตั้งแต 0 – 15 ตําแหนง
Input Mask
การกํ า หนดรู ป แบบเพื่ อ ใช ใ นการรั บ ค า ข อ มู ล ของฟ ล ด ใ ห ถู ก ต อ งตาม
หลักเกณฑที่กําหนดไว เชน หมายเลขโทรศัพท มีการใชหลายรูปแบบ เชน 044-
224499, (044) 224499, 0-4422-4499 หรือ 6644224499 เปนตน หากไมมีการ
16
กําหนดรูปแบบการรับคาขอมูล จะทําใหผูใชแตละคนปอนคาขอมูลหลากหลาย ไม
เปนรูปแบบเดี๋ยวกัน จึงควรมีการกําหนดรูปแบบเพื่อความสะดวกในการกรอกขอมูล
และเพื่อปองกันความผิดพลาดในการกรอกขอมูลของผูใชงาน
สัญลักษณ คําอธิบาย
0 แทนตัวเลข 0 – 9 เทานั้น และตองใสคาทุกครั้ง
9 แทนตัวเลข 0 – 9 หรือชวงวางก็ได (คา Null) จะใสหรือไมใสคาก็ได
# แทนตัวเลข 0 – 9 หรือชวงวางก็ได (คา Null) ที่เปนคาบวกหรือคาลบ ก็ได
L แทนตัวอักษร และตองใสคาทุกครั้ง
? แทนตัวอักษร จะใสหรือไมใสคาก็ได
A แทนตัวเลขหรือตัวอักษรเทานั้น และตองใสคาทุกครั้ง
a แทนตัวเลขหรือตัวอักษรเทานั้น จะใสหรือไมใสคาก็ได
& แทนตัวเลข ตัวอักษร และชองวาง (คาวาง) และตองใสคาทุกครั้ง
C แทนตัวเลข ตัวอักษร และชองวาง (คาวาง) จะใสหรือไมใสคาก็ได
. (จุด) แทนเลขทศนิยม
, แทนเครื่องหมายคั่นระหวางตัวเลข ตามหลักสากล
:;-/ แทนเครื่องหมายคั่นระหวางวันที่ และเวลา
< แทนเครื่องหมายเปลี่ยนตัวอักษรทุกตัวที่บันทึกคาใหแสดงผลเปนตัวพิมพเล็ก
> แทนเครื่องหมายเปลี่ยนตัวอักษรทุกตัวที่บันทึกคาใหแสดงผลเปนตัวพิมพใหญ
! แทนเครื่องหมายที่ใหใสคาที่บันทึกจากขวาไปซาย
\ แทนเครื่องหมายแสดงคาตามอักษรที่ตามหลังเครื่องหมายนี้
Caption
การกําหนดชื่อใหม, ชื่ออื่นๆ หรือ ชื่อที่เปนภาษาอื่น ที่ใชแทนชื่อฟลด ที่
กําหนดไวใน Field Name เพื่อใหผูใชงานเขาใจ เนื่องจากมีขอจํากัดในการกําหนด
ชื่อฟลดในชอง Field Name เชน Field Name ตั้งชื่อวา “StuID” ซึ่งอาจไมสื่อ
ความหมาย จึงกําหนดชื่อฟลดใหมในชอง Caption วา “รหัสประจําตัวนักศึกษา” ซึ่ง
ขอความดังกลาจะปรากฏในสวนของ Header ของ Field บนหนา Datasheet ที่ใช
บันทึกขอมูลลงตาราง
Default Value
การกําหนดคาเริ่มตนใหกับฟลดนั้นๆ ซึ่งคาที่กําหนดไวจะปรากฏในหนา
Datasheet ที่ใชในการบันทึกขอมูล
17
Validation Rule
การกําหนดเงื่อนไขในการบันทึกคาขอมูล โดยกําหนดในรูปของประโยค
เงื่อ นไข เชน เงิ นเดื อ นพนัก งานอยูร ะหวาง 10,000 บาทถึ ง 50,000 บาท ใหใ ส
เงื่อนไขวา Between 10000 and 30000 เปนตน
Validation Text
การกําหนดขอความเตือนกรณีที่ปอนขอมูลลงตารางผิดพลาด หรือไมตรง
กับ Validation Rule ที่กําหนดไว เชน พิมพคําวา “กรุณากรอกขอมูลใหมอีกครั้ง
เงินเดือนพนักงานอยูระหวาง 10,000 – 50,000 บาทเทานั้น” เปนตน
Required
การกําหนดใหมีการปอนขอมูลลงในฟลดทุกครั้งหรือไม กรณีที่เลือก
ตัวเลือก “Yes” หมายถึง ตองการใหมีการปอนขอมูลทุกครั้ง และกรณีที่เลือก
ตัวเลือก “No” หมายถึง ไมจําเปนตองปอนขอมูลลงฟลดทุกครั้ง หรือไมตองปอน
ขอมูลลงฟลดนั้นได
Indexed
การกําหนดดรรชนีใหกับฟลด ซึ่งมี 3 ประเภท คือ
รูปแบบ ความหมาย
No ไมมีการกําหนดดรรชนีใหกับฟลดนั้น
Yes (Duplicates OK) กําหนดดรรชนีใหกับฟลดนั้น (แบบซ้ํากันได)
Yes (No Duplicates) กําหนดดรรชนีใหกับฟลดนั้น (แบบซ้ํากันไมได)
18
ขั้นตอนการสรางตาราง (Table)
เริ่ม
กําหนดโครงสรางตาราง
กําหนดองคประกอบฟลด
เชื่อมความสัมพันธ
ระหวางตาราง
กรอกขอมูลลงใน
Data sheet ของตาราง
จบ
19
ปฏิบัติการที่ 1
การสรางฐานขอมูลและการกําหนดโครงสรางตาราง
วัตถุประสงค : นักศึกษาสามารถ
1. สรางตารางเพื่อจัดเก็บขอมูลโดยใชโปรแกรม Access ได
2. กําหนดโครงสรางของตารางได
3. อธิบายคุณสมบัติของแตละฟลดที่กําหนดในตารางได
ขั้นตอนปฏิบัติที่ 1.1
การสรางฐานขอมูล Week1.mdb
2. คลิกคําสั่ง
Program
3. คลิกคําสั่ง
Microsoft Access
1. คลิก
คําสั่ง Start
หรือ คลิกที่ไอคอน
บนแถบ Standard Toolbar
คลิกคําสั่ง
Blank Database
21
6. ปรากฏหนาตาง Database ชื่อ Week1
ที่หนาตาง Database จะปรากฏ Object ตางๆ 6 Object ไดแก Table, Query, Form,
Report, Macro และ Module
2. คลิก
คําสั่ง New
1. คลิก Object
Table
22
8. ปรากฏหนาจอ New Table
ประเภทตาราง คําอธิบาย
Datasheet View ตารางขอมูลแบบ Datasheet ขนาด 20 คอลัมน X 30 แถว
Design View ตารางขอมูลที่ผูใชกําหนดโครงสรางตาราง และองคประกอบของฟลดดวยตนเอง
Table Wizard ตารางขอมูลที่ Microsoft Access เตรียมโครงสรางตารางไวใหแลว
Import Table ตารางขอมูลที่สรางโดยการทําสําเนาจากตารางขอมูลที่มีอยูแลวมาเก็บไวใน
ฐานขอมูลที่ใชงานอยูในปจจุบัน
Link Table ตารางขอมูลที่ Microsoft Access ดึงขอมูลดวยวิธีการเชื่อมโยงจากฐานขอมูล
อื่นๆ นํามาใชงานในฐานขอมูลปจจุบัน
1. คลิกตัวเลือก
Design View
2. คลิก
ปุมคําสั่ง OK
23
10. ปรากฏหนาตางกําหนดโครงสรางตาราง ดังรูป
24
ขั้นตอนปฏิบัติที่ 1.2
การกําหนดโครงสรางตารางและองคประกอบของฟลด
คําสั่ง:
ใหนักศึกษาสรางตาราง CUSTOMER, PRODUCT, EMPLOYEE, ORDER และตาราง
ORDER_Detail โดยดูโครงสรางตารางและองคประกอบของฟลด จากภาคผนวก หนา 41 – 43
25
3. เมื่อเลือกชนิดของขอมูลแลวใหกด Enter เคอรเซอรจะปรากฏที่ชอง Description ให
นักศึกษาพิมพรายละเอียดของฟลด ดังนี้ “รหัสประจําตัวลูกคา ใชเปน Primary key”
TIP
การเลือกฟลด (เลื่อนเมาสไปที่ดานหนาของฟลดที่ตองการเลือก เชน ฟลด CusID จะปรากฏลูกศร
สีดํา (ใหคลิกเมาสจะปรากฏแถบสีดําที่ฟลดนั้น)
26
การกําหนด Field Properties: Input Mask
27
4. คลิกเลือกปุม Edit List จะปรากฏหนาตาง Customize Input Mask Wizard ดังรูป
28
7. ที่ชอง Try It: ใหทดสอบการพิมพคาขอมูล เพื่อตรวจสอบวา Input Mask ที่กําหนดขึ้นตรง
ความตองการหรือไม ดังรูป
1. ตรวจสอบรูปแบบ
Input Mask
2. กําหนดรูปแบบ
การรับคาขอมูล
29
9. คลิกปุมคําสั่ง Next จะปรากฏหนาตางถัดไป เพื่อกําหนดรูปแบบการจัดเก็บขอมูลลงตาราง
ซึ่งมีดวยกัน 2 รูปแบบคือ
1) รูปแบบการจัดเก็บขอมูลพรอมสัญลักษณ Input Mask
2) รูปแบบการจัดเก็บขอมูลเฉพาะขอมูลเทานั้น ไมรวมสัญลักษณ Input Mask
30
11. คลิกปุมคําสั่ง Finish จะกลับมายังหนาตาง Table1:Table พบวา Field Properties: Input
Mask ปรากฏสัญลักษณรูปแบบ Input Mask ตามที่กําหนดไว ดังรูป
เมื่อกําหนดโครงสรางตารางและองคประกอบของฟลดในตารางเสร็จแลว ใหนักศึกษา
ทําการกําหนดคียหลัก (Primary Key : PK) ใหกับตารางที่สรางขึ้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเมนูคําสั่ง Edit
2. คลิกเลือกคําสั่ง Edit จากแถบเมนูคําสั่ง
จากนั้นเลือกคําสั่ง Primary Key
31
3. ปรากฏรูปกุญแจที่ฟลด CusID และที่ Field Properties: Indexed จะเปลี่ยนรูปแบบ
ดรรชนีจาก Yes (Duplicates OK) เปน Yes (No Duplicates) ดังรูป
32
กรณีที่คลิกเลือกปุมคําสั่ง Yes
) ใหโปรแกรม Microsoft Access 2002 กําหนดคียหลัก (PK) โดยอัตโนมัติกับตารางนั้น
โดยโปรแกรมจะสรางฟลดขึ้นใหมเพื่อใชเปนคียหลัก
กรณีที่คลิกเลือกปุมคําสั่ง No
) ไมตองการกําหนดคียหลัก (PK) กับตารางดังกลาว
กรณีที่คลิกเลือกปุมคําสั่ง Cancel
) ยกเลิกการ Save ตารางดังกลาว และกลับไปยังหนาตางตารางดังกลาว
33
การบันทึกตาราง (Save)
การปดหนาตางกําหนดโครงสรางตาราง
หรือ คลิกที่ไอคอน
บนหนาตางตาราง CUSTOMER
2. คลิกคําสั่ง Close
34
การแกไขโครงสรางตาราง
กรณีที่ฟลดใดฟลดหนึ่งไมไดกําหนดคุณสมบัติบางอยางหรือตองการลบบางฟลดออก
จากตารางใหนักศึกษาดําเนินการดังนี้ (เมื่อมีการแกไขตองมีการ Save ดวยทุกครั้ง โดยปกติ
เมื่อสั่งปดหนาตางโครงสรางตารางเครื่องจะถามวา Save หรือไม)
1. เลือก object : Table แลวเลือกชื่อตารางที่ตองการแกไข โดยคลิกที่ชื่อตารางนั้น แลว
เลือกคําสั่ง Design จะเขาสูหนาตางกําหนดโครงสรางตาราง
2. หากตองการลบฟลด ใหเลือกฟลดนั้น แลวเลือกเมนู Edit แลวเลือกคําสั่ง Delete
3. หากตองการแทรกฟลด ใหเลือกฟลดที่ตองการใหฟลดใหมอยูขางบน แลวเลือกเมนู
Insert เลือกคําสั่ง Rows
4. หากตองการยายฟลดใดฟลดหนึ่งไปยังตําแหนงอื่นๆ ใหเลือกฟลดนั้นแลวเลือกเมนู
Edit เลือกคําสั่ง cut และไปยังตําแหนงที่ตองการใหฟลดเขาอยู แลวเลือกเมนู Edit เลือก
คําสั่ง Past
5. หากตองการคัดลอกฟลด ใหทําตามขอ 2 แตเปลี่ยนคําสั่ง cut เปน copy เทานั้น
การออกจากโปรแกรม
1. คลิกเมนูคําสั่ง File
1. คลิกเลือกคําสั่ง File จากแถบเมนูคําสั่ง
2. จากนั้นเลือกคําสั่ง Exit
หรือ กดปุม Alt + F จากนั้นกดปุม X
หรือ คลิกที่ไอคอน
บนหนาตางโปรแกรม Microsoft Access 2002
2. คลิกคําสั่ง Exit
35
1. คลิกเมนูคําสั่ง File
การเปดฐานขอมูลเกาขึ้นมาใชงาน
ในการเปดฐานขอมูลเกาที่เคยสรางขึ้นใหปฏิบัติดังนี้
1. เปดโปรแกรม Microsoft Access 2002
2. คลิกเลือกคําสั่ง File จากแถบเมนูคําสั่ง 2. คลิกคําสั่ง Open
จากนั้นเลือกคําสั่ง Open
หรือ กดปุม Alt + F จากนั้นกดปุม O
หรือ กดปุม Ctrl + O
36
4. คลิกเลือกแฟมขอมูลที่ตองการเปด ในที่นี่ใหเลือก Week1.mdb
5. คลิกปุม Open จะปรากฏหนาตาง Database : Week1 ขึ้นมา ดังรูป
37
การลบตาราง
38
การเปลี่ยนชื่อตาราง
กรณีที่ผูใชตองการเปลี่ยนแปลงชื่อตารางสามารถทําไดดังนี้
1. จากหนาตาง Database : Week1 คลิกเลือกตารางที่ตองการเปลี่ยนชื่อ
2. เลือกเมนูคําสั่ง Edit จากแถบเมนูคําสั่ง 1. คลิกเมนูคําสั่ง Edit
จากนั้นคลิกเลือกคําสั่ง Rename
หรือ คลิกเมาสดานขวา เลือกคําสั่ง Rename
2. คลิกคําสั่ง Rename
39
ภาคผนวก
Table : CUSTOMER CusID = Primary key
Field Name Data Description Field Format Decima Input Mask Caption Default Validation Validation Required Indexed
Type Size l Place Value Value Text
CusID Text ใชเปน PK 3 000 รหัสลูกคา Yes Yes
(NO Duplicate)
CusName Text ชื่อลูกคา 20 ชื่อ Yes
CusSurname Text นามสกุลลูกคา 20 นามสกุล Yes
CusAddress Text ที่อยูลูกคา 50 ที่อยู
CusZipcode Text รหัสไปรษณีย 5 00000 รหัสไปรษณีย 30000
CusTel Text เบอรโทรศัพทลูกคา 13 9-9999- เบอรโทรศัพท
9999
41
Table : EMPLOYEE EmID = Primary key
Field Name Data Description Field Format Decima Input Caption Default Validation Validation Required Indexed
Type Size l Place Mask Value Value Text
EmID Text ใช เปน PK 3 000 รหัสพนักงาน Yes Yes
(NO Duplicate)
EmName Text ชื่อ 20 ชื่อ Yes
EmSurname Text นามสกุล 20 นามสกุล Yes
EmPosition Text ตําแหนง 20 ตําแหนง พนักงาน Yes
ขาย
EmAddress Text ที่อยู 50 ที่อยู
EmZipcode Text รหัสไปรษณีย 5 00000 รหัสไปรษณีย
EmTel Text เบอรโทรศัพท 13 9-9999- เบอรโทรศัพท
9999
StartingDate Date/Time วันที่เขาทํางาน General วันที่บรรจุ Yes
Date
EmSalary Currency เงินเดือน General 2 เงินเดือน 0 Between คุณปอน Yes
Number 8000 and ขอมูลผิด
30000
42
Table : ORDER OrderID = Primary key
Field Name Data Description Field Format Decima Input Caption Default Validation Validation Required Indexed
Type Size l Place Mask Value Value Text
OrderID Text ใช เปน PK 3 000 รหัสการสั่ง Yes Yes
(NO Duplicate)
CusID Text รหัสลูกคา 3 000 รหัสลูกคา Yes
OrderDate Dat/Time วันที่สั่งซื้อ General วันสั่ง Yes
Date
ShippedDate Dat/Time วันที่สง General วันสง Yes
Date
EmID Text รหัสพนักงาน 3 000 รหัสพนักงาน Yes
43
ปฏิบัติการที่ 2
การเชื่อมความสัมพันธระหวางตาราง
วัตถุประสงค : นักศึกษาสามารถ
1. เชื่อมความสัมพันธระหวางตารางได
2. กรอกขอมูลลงใน Datasheet ได
ขั้นตอนปฏิบัติที่ 2.1
การเชื่อมความสัมพันธระหวางตาราง
2. คลิกปุมคําสั่ง
Relationships…
2. คลิกปุมคําสั่ง Add
1. คลิกเลือกตารางที่ตองการ
สรางความสัมพันธ
45
การลบตารางที่ไมตองการออก
คลิกเมาสที่ตารางนั้น เลือกเมนู Edit เลือกคําสั่ง Delete หรืออาจคลิกเมาสที่ตารางนั้น
แลวกดเปนพิมพ Delete
การเพิ่มตาราง
หากตองการเลือกบางตารางเพิ่มให Add Table ใหม โดยเลือกเมนู Relationship และ
คลิกที่คําสั่ง Show Table แลวดําเนินการเลือกตารางใหม
46
3. ปรากฏหนาตาง Edit Relationships ดังรูป
47
การกําหนด Join Type
ตัวเลือกที่ 1 เชื่อมเฉพาะเรคอรดที่มีคาของฟลดตรงกันเทานั้น
ตัวเลือกที่ 2 เชื่อมแบบนําเรคอรดของตารางดาน One ทั้งหมดมา และนํา
เฉพาะเรคอรดของตารางฝง many ที่มีคาของฟลดตรงกันกับ
ตารางฝง One เทานั้น
ตัวเลือกที่ 3 เชื่อมแบบนําเรคอรดของตารางดาน many ทั้งหมดมา และนํา
เฉพาะเรคอรดของตารางฝง One ที่มีคาของฟลดตรงกันกับ
ตารางฝง many เทานั้น
48
8. ใหนักศึกษาเชื่อมความสัมพันธดังนี้
• ฟลด EmID ในตาราง EMPLOYEE กับฟลด EmID ในตาราง ORDER
• ฟลด ProID ในตาราง PRODUCT กับฟลด ProID ในตาราง ORDER-DETAIL
• ฟลด OrderID ในตาราง ORDER กับฟลด OrderID ในตาราง ORDER-DAIL
9. เมื่อเชื่อมความสัมพันธครบทุกขอแลวจะปรากฏดังรูป
49
ขั้นตอนปฏิบัติที่ 2.2
4. พิมพขอความลงในชองฟลดตางๆ ดังนี้
1. ฟลดรหัสลูกคา ใหพิมพขอความ “001”
50
Table: CUSTOMER
รหัสลูกคา ชื่อ นามสกุล ที่อยู รหัสไปรษณีย หมายเลขโทรศัพท
001 เงิน ดี 213 อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 0-4422-2222
002 ทอง แพง 111 อ.เมือง จ.ขอนแกน 40000 0-4333-2222
003 นาค งาม 9 พญาไท กรุงเทพฯ 10300 0-1001-1009
004 เพชร สวย 99 อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 0-4422-0001
Table: PRODUCT
รหัสสินคา ชื่อสินคา ราคาสินคาตอหนวย รายละเอียดสินคา
100 กางเกง 600.00 กางเกงขาสั้น
200 เสื้อยืด 200.00 ใสแลวดูดี
300 เข็มขัด 300.00 หนังกบ
400 รองเทา 900.00 รองเทาหนังแกะ
Table: EMPLOYEE
รหัสพนักงาน ชื่อ นามสกุล ตําแหนง ที่อยู รหัสไปรษณีย หมายเลขโทรศัพท StartDate เงินเดือน
111 เกง รวย พนักงานขาย 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 0-4422-3333 11/01/1998 20000
222 เลิศ หรู พนักงานขาย 11 อ.เมือง จ.ขอนแกน 40000 0-4333-5555 11/12/1998 10000
333 ดี งาม พนักงานสงเสริม 19 พญาไท กรุงเทพฯ 10300 0-1111-2222 12/05/1999 8000
51
Table: ORDER
รหัสการสั่ง รหัสลูกคา วันสั่ง วันสง รหัสพนักงาน
001 003 12/12/1998 18/12/1998 111
002 004 15/12/1998 20/12/1998 222
003 003 30/12/1998 05/01/1999 111
Table: Order_Detail
รหัสการสั่ง รหัสสินคา จํานวน สวนลด
001 100 20 5%
002 100 15 5%
003 300 5 5%
003 400 30 5%
001 200 30 10%
002 200 20 5%
52
ปฏิบัติการที่ 3
การสราง Query
วัตถุประสงค นักศึกษาสามารถ
1. เขาใจหลักการในการทํา Query
2. สราง Query เพื่อการใชงานฐานขอมูลไดสะดวกยิ่งขึ้น
ประเภทของ Query
Query สามารถแบงประเภทตามลักษณะการทํางานไดดังนี้
ประเภท ความหมาย
Select Query Query ที่ใชในการเลือกขอมูลจากตาราง โดยแสดงตามเงื่อนไขที่กําหนด โดย
ขอมูลที่นํามาแสดงอาจมาจาก 1 ตาราง หรือหลายตารางที่มีความสัมพันธกัน
Query ที่ใชกระทําการอยางใดอยางหนึ่งกับขอมูลหรือตาราง ซึ่งจําแนกตาม
ความสามารถไดดังนี้
) Make-Table Query สร า งตารางขึ้ น ใหม โ ดยอั ต โนมั ติ โดยโครงสร า งและ
ขอมูลของตารางไดจากขอมูลที่ Query เลือกไว หรือได
Action Query จากการคํานวณโดย Query
) Append Query เพิ่มขอมูลลงในตารางโดยนําขอมูลที่ Query เลือกไวไป
ใสตอทายขอมูลที่มีอยูในตารางที่กําหนด
) Update Query แก ไ ข-ปรับ ปรุ ง ขอ มูล จํ า นวนมากๆ ในตาราง ในครั้ ง
เดียว
) Delete Query ลบขอมูลทั้งหมดออกจากตารางที่กําหนด
Crosstab Query Query ที่นําขอมูลแถวไปสรางเปนคอลัมน และนําขอมูลคอลัมนไปสรางเปน
แถว เพื่อใชในการวิเคราะหขอมูล
Union Query Query ที่นําขอมูลจากหลายๆ ตารางมารวมกันเปนตารางเดียว ซึ่ง Query
ประเภทนี้จะตองสรางดวยคําสั่งภาษา SQL
Parameter Query Query ที่มีการเรียกใหผูใชกรอกขอมูลที่เปนเงื่อนไขในการเลือกขอมูล หรือใส
คาตัวแปรในการคิดคํานวณ
มุมมองในการสราง Query
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 3.1
54
5. ปรากฏหนาตาง New Query
รูปแบบในการสราง Query
55
6. คลิกเลือกคําสั่ง Design View แลวคลิกปุม OK
2. คลิกปุมคําสั่ง OK
56
ตัวอยาง : ตองการทราบรหัส, ชื่อ–นามสกุล, ตําแหนง และเงินเดือนของพนักงาน
ทั้งหมด
1. เลือกตาราง
EMPLOYEE
57
Tip การเพิ่มหรือลบตาราง
หากนักศึกษา เลือกตารางผิดหรือตองการเพิ่มตารางที่จะนํามาสราง Query ใหดําเนินการ
เหมือนกับการสรางความสัมพันธระหวางตาราง
การเพิ่มตาราง ใหเลือกเมนู Query เลือกคําสั่ง Show Table
การลบ ใหเลือกตารางที่ตองการลบ แลวเลือกเมนู Edit เลือกคําสั่ง Delete
องคประกอบ คําอธิบาย
Field List Pane สวนที่ใชแสดงแหลงขอมูลที่ใชในการสราง Query และเปนสวนที่ใชแสดง
การเชื่อมโยงความสัมพันธของแหลงขอมูล
58
องคประกอบ คําอธิบาย
ส ว นที่ ใ ช ร ะบุ ฟ ล ด ข อ มู ล ที่ ต อ งการนํ า มาแสดงเป น ผลลั พ ธ ข อง Query
ประกอบดวย
) Field: ระบุชื่อฟลดที่ตองการใหแสดงผลลัพธ หรือใสชื่อฟลดที่ตั้งขึ้น
ใหม นอกจากนี้ยังสามารถใสสูตรคํานวณ หรือฟงกชันที่ใช
กําหนดคาขอมูลของฟลดได
) Tables: ระบุชื่อตารางที่มาของฟลด
) Total: ระบุฟงกชั่นที่ใชในการคํานวณ
(ปรากฏเมื่อคลิกปุม เพื่อเรียกใชฟงกชันคํานวณ)
) Sort: กําหนดรูปแบบการเรี ยงลําดับของขอมูลภายในฟ ลดนั้น ๆ
รูปแบบการเรียงลําดับมี 3 รูปแบบดังนี้
) Ascending กําหนดการเรียงลําดับจากนอยไปหามาก
Query Design Grid
) Descending กําหนดการเรียงลําดับจากมากไปหานอย
) Not Sorted ไมกําหนดการเรียงลําดับ
ในกรณีที่มีการกําหนดใหเรียงลําดับมากกวา 1 ฟลด จะยึด
ฟลดที่อยูทางดานซายเปนหลัก
) Show: กําหนดใหแสดงหรือไมแสดงขอมูลภายในฟลด โดยคลิกที่
กลองสี่เหลี่ยม ( ) ถามีเครื่องหมายถูก ( 9 ) หมายถึง
กําหนดใหแสดงขอมูล
) Criteria: ระบุเงื่อนไข สูตร และฟงกชันตางๆ ที่เปนตัวกําหนดผลลัพธ
ของคิวรี่
) Or: ระบุเงื่อนไขที่สอง ในลักษณะของคําสั่ง OR ของการ
เปรียบเทียบคาในทางตรรกศาสตร (ศึกษาเพิ่มเติมจากการ
สรางเงื่อนไขแบบนิพจน หนา )
59
4) เลือกฟลดที่ตองการแสดงผลการสืบคนโดยการคลิกเมาสที่ชื่อฟลดที่ตองการใน
ตารางที่ปรากฏอยูใน Field List Pane เชน กรณีที่เลือกแสดงฟลดชื่อ EmID ใน
ตาราง EMPLOYEE เปนตน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
วิธีที่ 1
- คลิกเมาสที่ฟลดชื่อ EmID
ในตาราง EMPLOYEE แลวกดคางไว
- ลากเมาสมาที่ชอง Field ใน
Query Design Grid (ดังรูป)
- ปลอยเมาส
- ปรากฏชื่อฟลดที่เลือกในชอง Field
และชื่อตารางในชอง Table ดังรูป
วิธีที่ 2
- คลิกที่เครื่องหมาย
ดานหลังชอง Field ใน
Query Design Grid
จะปรากฏรายชื่อฟลด ดังรูป
- คลิกเลือกฟลด EmID
- ปรากฏชื่อฟลดที่เลือกในชอง Field และชื่อตารางในชอง Table
60
การดูผลลัพธ Query
การดูผลลัพธการสราง Query มีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกที่เมนูคาํ สั่ง Query จากนั้นเลือกคําสัง่ Run
หรือ คลิกที่ Icon บนแถบเครื่องมือ
คลิกคําสั่ง Run
คลิก Icon Run
61
การบันทึก Query
การบันทึก Query มีขั้นตอนดังนี้
1. คลิกเมนูคําสั่ง File เลือกคําสั่ง Save จะปรากฏหนาตาง Save as
62
การแกไขการออกแบบ Query
การลบฟลดใน Query
ตัวอยาง กรณีที่ตองการลบฟลด EmSalary มีขั้นตอนดังนี้
1. เลื่อนเมาสไปดานบนของคําวา EmSalary จะปรากฏลูกศร Ð
การแทรกฟลดใน Query
ตัวอยาง กรณีที่ตองการแทรกฟลด EmTel ไวดานหนาฟลด EmPosition
มีขั้นตอนดังนี้
1. เลื่อนเมาสไปดานบนของคําวา EmPosition จะปรากฏลูกศร Ð
63
4. ปรากฏคอลัมนใหมระหวางฟลด EmSurname กับ EmPosition ดังรูป
64
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 3.2
6. เลือกฟลดจากตารางตามลําดับดังนี้
CusName จากตาราง CUSTOMER
OrderID จากตาราง ORDER
ProName จากตาราง PRODUCT
Price จากตาราง PRODUCT
ProCount จากตาราง Order-Detail
65
7. ที่ชอง Criteria ของฟลด CusName ใหพิมพขอความวา “ [กรุณาปอนชื่อลูกคา] ”
ดังรูป
66
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 3.3 : การเพิ่มความสามารถใหกับ Query
การสรางนิพจนเพื่อการคํานวณ
สําหรับเครื่องหมายที่ใชในการคํานวณในการสรางนิพจนนั้นมีดังนี้
1. เครื่องหมายคํานวณทางคณิตศาสตร
รูปแบบ คําอธิบาย ตัวอยาง
+ รวมคาของฟลดที่หนึ่งเขากับฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] + [Number2]
- ลบคาของฟลดที่สองออกจากฟลดที่หนึ่ง [ผลรวม] : [Number1] - [Number2]
* คูณคาของฟลดที่หนึ่งกับฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] * [Number2]
/ ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] / [Number2]
\ ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง แตผลลัพธที่ [ผลรวม] : [Number1] \ [Number2]
ไดคือ จํานวนเต็มที่ไมนับรวมเศษ
(เอาเฉพาะจํานวนเต็ม)
Mod ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง แตผลลัพธที่ [ผลรวม] : [Number1] Mod [Number2]
ไดคือเศษที่ไดจากการหารไมนับจํานวนเต็ม
(เอาเฉพาะเศษ)
^ ยกกําลังฟลดที่กําหนด [ผลรวม] : [Number1] ^ 2
67
2. เครื่องหมายการเปรียบเทียบคาในทางตรรกศาสตร
รูปแบบ คําอธิบาย ตัวอยาง
IIf ผลลัพธที่ไดจาการเปรียบเทียบเงื่อนไข IIf (เงื่อนไข, คําสั่งเมื่อเงื่อนไขเปนจริง, คําสั่ง
โดยมีการกําหนดใหทํางานตามคําสั่งที่ เมื่อเงื่อนไขเปนเท็จ)
1 เมื่อขอมูลตรงกับเงื่อนไข หากไมตรง IIf ([Product.ProID] = [Order_Detail.ProID],
กับเงื่อนไขใหทํางานตามคําสั่งที่ 2 [Order_Detail.Count], 0)
ตัวอยาง : ตองการสรางนิพนธเพื่อคํานวณหาราคารวมของสินคาที่ขายไป
ราคารวม = ราคาสินคา X จํานวนสินคาที่ขาย
การสรางนิพนธมีขั้นตอนดังนี้
1. สรางคอลัมนตอทายจากคอลัมน ProCount
2. พิมพขอความ “ ราคารวม: [Price]* ในชอง Field ที่ตอจากชองฟลด ProCount ดังรูป
68
การสราง Query เพื่อคนหาขอมูลแบบมีเงื่อนไข
2. กลุมการคํานวณ
รูปแบบ คําอธิบาย ตัวอยาง
+ รวมคาของฟลดที่หนึ่งเขากับฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] + [Number2]
- ลบคาของฟลดที่สองออกจากฟลดที่หนึ่ง [ผลรวม] : [Number1] - [Number2]
* คูณคาของฟลดที่หนึ่งกับฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] * [Number2]
/ ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง [ผลรวม] : [Number1] / [Number2]
\ ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง แตผลลัพธที่ [ผลรวม] : [Number1] \ [Number2]
ไดคือ จํานวนเต็มที่ไมนับรวมเศษ
(เอาเฉพาะจํานวนเต็ม)
Mod ฟลดที่หนึ่งหารดวยฟลดที่สอง แตผลลัพธที่ [ผลรวม] : [Number1] Mod [Number2]
ไดคือเศษที่ไดจากการหารไมนับจํานวนเต็ม
(เอาเฉพาะเศษ)
^ ยกกําลังฟลดที่กําหนด [ผลรวม] : [Number1] ^ 2
ลําดับการทํางานของเครื่องหมายในกลุมการคํานวณ
ลําดับที่ เครื่องหมาย
1 ( ) วงเล็บ
2 ^
3 *, /, \, Mod
4 +, -
69
3. กลุมการเชื่อมขอความ
เครื่องหมาย เงื่อนไข / คําอธิบาย ตัวอยาง
[ชื่อฟลด] & [ชื่อฟลด] กํ า หนดให แ สดงข อ มู ล โดยนํ า ข อ มู ล ใน [ProName] & [Price]
ฟลดที่สองมาตอทายขอมูลฟลดแรก
[ชื่อฟลด] + [ชื่อฟลด] เหมือนเครื่องหมาย & (กําหนดใหแสดง [ProID] + [ProName]
ข อ มู ล โดยนํ า ข อ มู ล ในฟ ล ด ที่ ส องมา
ต อ ท า ยข อ มู ล ฟ ล ด แ รก) แต จ ะต อ งเป น
ฟลดที่เก็บขอมูลประเภท Text เทานั้น
4. กลุมตรรกศาสตร
เครื่องหมาย เงื่อนไข / คําอธิบาย ตัวอยาง
And ผลลัพธที่ไดจะตองอยูภายในเงื่อนไขที่กําหนด > 50 And <120 หรือ
ไวเทานั้น ถาตองการขอมูลเฉพาะที่ตรงกับคาที่ Between “001” And “005”
กําหนด ใหใสคําสั่ง Between เพิ่มขางหนาคําสั่ง หรือ Between #04/05/2549#
And And #30/05/2549#
Or ผลลัพธที่ไดจะตองประกอบดวยคาใดคาหนึ่งที่ “002” Or “006” หรือ
กําหนด 2,000 Or 3,000
Not ผลลัพธที่ไดจะตองไมตรงกับคาที่กําหนด Not 8,500
5. กลุมคนหาขอมูล
เครื่องหมาย เงื่อนไข / คําอธิบาย ตัวอยาง
“ขอความ” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี “สมชาย”
ขอมูลตรงกับขอความ
Not “ขอความ” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี Not “นครราชสีมา”
ขอมูลไมตรงกับขอความ
Not ขอความ* แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี Not นคร*
ขอมูลที่ไมไดขึ้นตนดวยขอความ
Like “ขอความ*” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี Like “นคร*”
ขอมูลที่ขึ้นตนดวยขอความ
Like “ขอความ?” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี Like “นคร?”
ข อ มู ล ที่ ขึ้ น ต น ด ว ยข อ ความและต อ ท าย
ดวยตัวเลขหรือตัวอักษร 1 ตัว
Like “ขอความ#” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมี Like “นคร#”
ข อ มู ล ที่ ขึ้ น ต น ด ว ยข อ ความและต อ ท าย
ดวยตัวเลข 1 ตัว
70
เครื่องหมาย เงื่อนไข / คําอธิบาย ตัวอยาง
#วันเดือนป# แสดงเฉพาะเรคคอร ด ของฟ ล ด ที่ กํ า หนดมี #26/05/2549#
ขอมูลตรงกับวันที่ที่กําหนด
Between #วันเดือนป# แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมีขอมูล Between #26/05/2549#
And #วันเดือนป# อยูระหวางวันที่เริ่มตนและวันที่สิ้นสุด And #26/06/2549#
Date() แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมีขอมูล Date()
ตรงกับวันที่ปจจุบัน
In (“ขอความ”, แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดมีขอมูล In (“นครราชสีมา”,
“ขอความ”) ตรงกับขอความใดขอความหนึ่งในวงเล็บ ”ขอนแกน”)
Is Null แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดเปนคา Is Null
วาง
Is Not Null แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดไมมีคา Is Not Null
วาง
“ ” แสดงเฉพาะเรคคอรดที่ฟลดที่กําหนดไมมีคา “ ”
ขอมูล
เครื่องหมายที่ใชในการคนหาขอมูล
เครื่องหมาย คําอธิบาย
? แทนตัวอักษร หรือตัวเลข 1 ตัว
* แทนตัวอักษร หรือตัวเลข มีความยาวตั้งแต 0 ตัวขึ้นไป สามารถใชเปนตัวอักษร
แรก หรือตัวอักษรสุดทายก็ได
# แทนตัวเลข 1 ตัว
71
ตัวอยาง : ตองการเชื่อมขอความของฟลด EmName และ EmSurname ใหเปนฟลดใหม
ขั้นตอนปฏิบัติ
1. จากหนาตาง Database : Week1 ใหเลือก Object : Query จากนั้นคลิกเลือก
Query : Q_Employee
2. คลิกเลือกคําสั่ง Design จะปรากฏหนาตาง Q_Employee : Select Query ดังรูป
72
ขอสังเกต : ชื่อและนามสกุลของลูกคาจะติดกัน
ใหนักศึกษาแกไขใหม โดยกลับเขาไปที่หนาตาง Design แลวแกไขเปน
ชื่อ – นามสกุล: [EmName]&” “&[EmSurname] แลว Run ผลดูใหมอีกครัง้
73
ตัวอยาง : ตองการคนหาขอมูลของลูกคาชื่อ ดี (ใชคําสั่ง Like “ขอความ”)
ขั้นตอนปฏิบัติ
1. จากหนาตาง Database : Week1 ใหเลือก Object : Query จากนั้นคลิกเลือก
Query : Q_Employee
2. คลิกเลือกคําสั่ง Design จะปรากฏหนาตาง Q_Employee : Select Query
3.ใหนักศึกษาพิมพเงื่อนไขในชอง Criteria ที่ชองฟลด EmName วา Like “ดี” ดังรูป
ตัวอยาง : ตองการคนหารายการสั่งซื้อสินคาในแตละวัน
ขั้นตอนปฏิบัติ
1. จากหนาจอ Database: Week1 คลิกเลือก Object : Query
2. คลิกที่คําสั่ง New เพื่อสราง Query ใหม
3. ปรากฏหนาตาง New Query จากนั้นใหคลิกเลือกคําสั่ง Design View แลวคลิกปุม OK
4. จากหนาตาง Add Table คลิกที่แถบ Table คลิกเลือกตาราง Order, Order_Detail และ
Product ดังรูป
74
5. จากนั้นเลือกฟลดตางๆ ตามลําดับดังนี้ เพื่อสราง Query
OrderID จากตาราง ORDER
ProID จากตาราง Order_Detail
ProName จากตาราง PRODUCT
OrderDate จากตาราง ORDER
ShippedDate จากตาราง ORDER
75
7. ปรากฏผลการสืบคนขอมูลจากวันที่ ที่ระบุไว ดังรูป
ขั้นตอนปฏิบัติ
1. จากหนาตาง Database : Week1 ใหเลือก Object : Query จากนั้นคลิกเลือก
Query : Q_Order2
2. คลิกเลือกคําสั่ง Design จะปรากฏหนาตาง Q_Order2 : Select Query
3. ใหนักศึกษาลบเงื่อนไขเดิมออก
4. พิมพเงื่อนไขในชองฟลด OrderID วา between 002 and 003
76
ปฏิบัติการที่ 4
การสรางแบบฟอรม
วัตถุประสงค นักศึกษาสามารถ
1. มีความรูเกี่ยวกับการสรางแบบฟอรม
2. สรางฟอรมที่ใชในการกรอกขอมูลแทนการกรอกใน Datasheet ได
3. สรางปุมคําสั่งตางๆ เพื่อการทํางานที่สะดวกของฟอรมได
ฟอรม (Form)
ประเภทของ Form
Form สามารถแบงประเภทไดดังนี้
ประเภท คําอธิบาย
Design View การสรางฟอรมดวยตนเอง โดยใชเครื่องมือหรือที่เรียกวา “คอนโทรล”
(Control) ในลักษณะตางๆ นํามาวางบนฟอรมเพื่อเปนตัวกลางในการรับ
ขอมูลจากผูใชบันทึกลงในตาราง และแสดงขอมูลจากตารางสูผูใช
Form Wizard การสร า งฟอร ม โดยการเรี ย กใช วิ ซ าร ด (Wizard) ซึ่ ง โปรแกรมจะถาม
คํ า ถามต า งๆ เกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะของฟอร ม ที่ ต อ งการ พร อ มแสดงภาพ
ตัวอยางประกอบทุกขั้นตอน แลวสรางออกมาเปนฟอรมตามที่ตองการ
Auto Forms: Columnar การสรางฟอรมจากตารางที่ตองการโดยอัตโนมัติ ซึ่งรูปแบบฟอรมที่ไดจะ
อยูในรูปแบบการเรียงลําดับเรคคอรดจากบนลงลาง และแสดง 1 เรคคอรด
ตอ 1 หนา
Auto Forms: Tabular การสรางฟอรมจากตารางที่ตองการโดยอัตโนมัติ ซึ่งรูปแบบฟอรมทีไ่ ดจะ
อยูในรูปแบบการเรียงลําดับเรคคอรดจากซายไปขวา โดย 1 หนาจะแสดง
หลายเรคคอรด
Auto Forms: Datasheet การสรางฟอรมจากตารางที่ตองการโดยอัตโนมัติ ซึ่งรูปแบบฟอรมทีไ่ ดจะ
อยูในรูปแบบเดี่ยวกันกับมุมมอง Datasheet ของตาราง
Auto Forms: PivotTable การเรียกใชคณ ุ สมบัติ PivotTable จากตารางที่ตองการโดยอัตโนมัติ
Auto Forms: PivotChart การเรียกใชคณ ุ สมบัติ PivotChart จากตารางที่ตองการโดยอัตโนมัติ
ประเภท คําอธิบาย
Chart Wizard การสรางแผนภูมิโดยใชวิซารด (Wizard) สรางแผนภูมิ ซึ่งโปรแกรมจะ
ถามคํ า ถามเกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะของแผนภู มิ ที่ ต อ งการ พร อ มแสดงภาพ
ตัวอยางประกอบทุกขั้นตอน แลวสรางออกมาเปนแผนภูมิในรูปแบบตาม
ตองการ
PivotTable Wizard การสราง PivotTable โดยใชวิซารด (Wizard) สราง PivotTable ซึ่ง
โปรแกรมจะมีคําแนะนําและวิธีการใชงาน PivotTable ที่ตองการ พรอม
เขาสูหนาตางการสราง PivotTable โดยอัตโนมัติ
สวน คําอธิบาย
Form Header / Form Footer พื้นที่สําหรับวางวัตถุตางๆ เพื่อใชในการตกแตงใหฟอรมมีความ
สวยงาม และเพื่อแสดงทุกครั้งที่ฟอรมขึ้นหนาใหม สวนมากนิยมใส
เครื่องหมาย, สัญลักษณ หรือขอความตางๆ
Detail พื้นที่สําหรับวางฟลดและคอนโทรลตางๆ เพื่อรับขอความจากผูใช
และแสดงขอมูลทั้งหมดจากตาราง
คอนโทรล (Controls)
คอนโทรลแตละตัวสามารถทํางานภายใตคุณสมบัติที่แตกตางกันไป ซึ่งรายละเอียด
ของคอนโทรลชนิดตางๆ มีดังนี้
สัญลักษณ ชื่อคอนโทรล คําอธิบาย
Select Object ใช ค ลิ ก เลื อ กคอนโทรล หรื อ เปลี่ ย นจากเมาส ที่ ใ ช ส ร า ง
คอนโทรลเปนเมาสที่ใชงานปกติ
Control Wizard คอนโทรลบางตั ว ที่ มี วิ ธี ก ารสร า งที่ ซั บ ซ อ น ยากแก ก าร
เขาใจ เครื่องมือนี้จะชวยเรียกวิซารด (Wizard) ขึ้นมาใช
งานในการสรางคอนโทรล
Label ใชเขียนขอความลงบนฟอรมในลักษณะของคําอธิบายซึ่ง
ไมเกี่ยวกับขอมูลและตาราง
Text Box ใชรับขอมูลจากผูใชบันทึกลงตาราง หรือแสดงขอมูลจาก
ตาราง สามารถใสฟงกชันในการคํานวณลงไปและแสดง
ออกมาเปนผลลัพธได
Option Group กรอบลอมกลุมตัวเลือกที่สามารถเลือกไดตัวเลือกเดียว
78
สัญลักษณ ชื่อคอนโทรล คําอธิบาย
Toggle Button ปุมแบบคลิกเลือก สามารถเลือกไดเพียงตัวเลือกเดียว
Option Button ตัวเลือกแบบคลิกเลือก สามารถเลือกไดเพียงตัวเลือกเดียว
Check Box ตัวเลือกแบบคลิกเลือก สามารถเลือกไดหลายตัวเลือก
Combo Box ใชคลิกเพื่อเลือกรายการขอมูลที่ซอนไว สามารถเลือกได
รายการเดียว
List Box คลายกับ Combo Box แตไมซอนรายการขอมูล
Command Button ปุมที่บรรจุคําสั่งในการทํางาน เชน คลิกปุมเพื่อเพิ่มขอมูล
เปนตน
Image แสดงรูปภาพที่ไมไดจัดเก็บอยูในตาราง
Unbound Object Frame แสดงขอมูลชนิด Object ที่ไมไดบันทึกอยูในตาราง
Bound Object Frame แสดงและรับขอมูลชนิด Object ลงในตาราง
Page Break ใชในกรณีที่ฟอรมมีความยาวมากกวา 1 หนา 79 จาก ใช
เพื่อกําหนดตําแหนงที่ฟอรมจะเลื่อนขึ้นลงเมื่อกดปุม Page
up หรือ Page Down หรือขึ้นหนาใหมเมื่อพิมพฟอรม
Tab Control ใชแสดงฟอรมอื่นๆ ในลักษณะของแท็บ
Subform / Subreport ใชแสดงฟอรมอื่ นๆ ในฟอรมหลั กที่มีขอ มูลในตารางที่ มี
ความสัมพันธกัน
Line ใชสรางเสนในฟอรม
Rectangle ใชวาดสี่เหลี่ยมในฟอรม
More Controls ปุมสําหรับเรียกใชคอนโทรลอื่นๆ ที่ซอนอยู
79
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 4.1
80
หนาตาง New Form ประกอบดวย 2 สวนคือ
สวนกําหนดรูปแบบ
การสราง Form
สวนกําหนดขอมูลที่
นํามาสราง Form
81
6. คลิกปุมคําสั่ง OK
7. ปรากฏหนาตาง From Wizard ดังรูป
82
9. ปรากฏชื่อฟลดทุกชื่อในชอง Select Field ดังรูป
รายชื่อฟลดที่
แสดงบนฟอรม
คลิกปุมคําสั่ง Next
10 คลิกปุมคําสั่ง Next
11. ปรากฏหนาจอถัดไป เพื่อกําหนดเลือก layout ของ Form ใหนักศึกษาเลือกรูปแบบใดก็
ได ในที่นี้เลือก แบบ Columnar ดังรูป จากนั้นใหคลิกปุม Next
เลือกรูปแบบ
Layout ของฟอรม
คลิกปุมคําสั่ง Next
83
12. ปรากฏหนาจอถัดไป Style ของ Form ใหนักศึกษาเลือกรูปแบบใดก็ได ในที่นี้เลือกแบบ
Standard ดังรูป จากนั้นใหคลิกปุม Next
เลือกรูปแบบ Style
ของฟอรม
คลิกปุมคําสั่ง Next
84
14. เลือกรูปแบบการแสดงฟอรม ซึ่งมีใหเลือก 2 รูปแบบ คือ
ประเภท คําอธิบาย
Open the Form to view or enter information เปดฟอรมที่สรางขึ้นในหนาตาง Form View
Modify the form’s design เปดฟอรมที่สรางขึ้นในหนาตาง Design View
85
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 4.2
การสรางปายคําอธิบายดวยคอนโทรล Label
ขั้นตอนการปฏิบัติ มีดังนี้
1. จากหนาตาง Form คลิกที่ Icon จากนัน้ เลือกคําสั่ง Design View ดังรูป
86
3. วางเมาสไวระหวางสวน Form Header และ Detail ใหเมาสเปลี่ยนเปนรูป ดังรูป
87
5. ปลอยเมาสออก จะปรากฏพื้นที่สวน Form Header ดังรูป
1. คลิกปุม
2. ลากเมาสสราง
Label
88
7. เมื่อปลอยเมาส จะปรากฏกรอบพื้นที่ตามขนาดที่กําหนดไว ใหพิมพขอความที่ตองการลง
ไป ในที่นี่พิมพขอความ “ขอมูลลูกคา” ดังรูป
89
การสรางปุมคําสั่งดวยคอนโทรล Command Button
90
4. กลุมคําสั่งที่จัดการรายงาน (Report Operations)
คําสั่ง (Action) คําอธิบาย
Mail Report สงรายงานทางอีเมล
Preview Report แสดงรายงานกอนพิมพ
Print Report พิมพรายงาน
Send Report To File พิมพรายงานออกเปนไฟลเอกสาร
5. กลุมคําสั่งที่ทํางานกับโปรแกรม (Applications)
คําสั่ง (Action) คําอธิบาย
Quit Application ออกจากโปรแกรมปจจุบัน
Run Application เปดโปรแกรมที่กําหนด
Run Ms Excel เปดโปรแกรม Ms Excel
Run Ms Word เปดโปรแกรม Ms Word
Run Notepad เปดโปรแกรม Notepad
6. กลุมคําสั่งที่ทํางานเบ็ดเตล็ด (Miscellaneous)
คําสั่ง (Action) คําอธิบาย
Auto Dialer สั่งตออินเตอรเน็ต
Print Table พิมพ Table ที่กําหนด
Run Marco สั่งทํางาน Marco ที่กําหนด
Run Query สั่งทํางาน Query ที่กําหนด
91
คําสั่ง : จงสรางปุมคําสั่ง (Command Button) เพื่อใชในการเพิ่มขอมูล
ขั้นตอนการปฏิบัติ มีดังนี้
1. จากหนาตาง Form : CUSTOMER ในมุมมอง Design View ดังรูป
คลิกวางบนฟอรม และ
ลากใหเกิดพื้นที่สี่เหลี่ยม
92
3. ปรากฏคอนโทรล Command Button ชื่อ Command 14 (โปรแกรมตั้งชื่ออัตโนมัติ) บน
ฟอรม พรอมหนาตาง Command Button Wizard ดังรูป
4. คลิกเลือก Categories : Record Operations และ Actions : Add New Record จากนั้น
คลิกปุมคําสั่ง Next ดังรูป
คลิกปุมคําสั่ง Next>
93
5. กําหนดรูปแบบการแสดงของปุมคําสั่ง ซึ่งมีดวยกัน 2 รูปแบบ คือ
1) แบบขอความ (Text) เปนการแสดงขอความบนปุมคําสั่ง ผูใชสามารถกําหนด
ขอความเองได โดยการพิมพลงในชองที่กําหนด
2) แบบรูปภาพ (Picture) เปนการแสดงรูปภาพบนปุมคําสั่ง ผูใชสามารถใชรูปภาพ
ที่โปรแกรมกําหนดไวให หรือกําหนดรูปภาพขึ้นเองได โดยคลิกที่ปุม Browser
เลือก Text:
คลิกปุมคําสั่ง Next>
พิมพขอความ Add
คลิกปุมคําสั่ง Finish
94
7. ปรากฏปุมคําสั่ง Add Record ที่สรางขึ้นใหมบน Form ดังรูป
95
10. ทดสอบปุมคําสั่ง Add Record เมื่อคลิกปุมคําสั่ง Add Record ที่ชองรับคาขอมูลจะ
ปรากฏเปนชองวาง เพื่อพรอมรับการกรอกขอมูลลงสูตาราง ดังรูป
ขั้นตอนการปฏิบัติ มีดังนี้
1. จากหนาตาง Form : CUSTOMER ในมุมมอง Design View ดังรูป
96
2. คลิกปุม บนแถบเครื่องมือ (Toolbox) เมาสจะเปลี่ยนเปนรูป จากนั้นใหคลิก
วางบนพื้นที่ Detail ที่ตองการสรางคอนโทรล Command Button แลวลากเมาสใหเกิดพื้นที่
สี่เหลี่ยม ดังรูป
คลิกวางบนฟอรม และ
ลากใหเกิดพื้นที่สี่เหลี่ยม
คลิกปุมคําสั่ง Next>
97
5. คลิกเลือกรูปแบบ Text จากนั้นคลิกปุมคําสั่ง Next ดังรูป
เลือก Picture:
คลิกปุมคําสั่ง Next>
พิมพขอความ Close
คลิกปุมคําสั่ง Finish
98
7. ปรากฏปุมคําสั่ง Add Record ที่สรางขึ้นใหมบน Form ดังรูป
ปุมคําสั่ง Close
99
คําสั่ง
100
ปฏิบัติการที่ 5
การสรางรายงาน
วัตถุประสงค นักศึกษาสามารถ
1. มีความรูเกี่ยวกับการสรางรายงาน
2. สรางรายงานเพื่อใชในการนําเสนอขอมูลผานทางเครื่องพิมพได
Report : รายงาน
องคประกอบของ Report
Report ของ Microsoft Access มีองคประกอบดังนี้
องคประกอบ คําอธิบาย
Report Header พื้นที่สวนหัวของรายงาน รายละเอียดตางๆ ที่อยูในสวนนี้จะถูกแสดงเฉพาะ
รายงานหนาแรกเทานั้น
Page Header พื้นที่สวนหัวของกระดาษ รายละเอียดตางๆ ที่อยูในสวนนี้จะถูกแสดงที่บนหัว
กระดาษของรายงานทุกหนา
Detail พื้นที่สําหรับแสดงรายละเอียดของขอมูล และถือเปนสวนสําคัญของรายงาน
Page Footer พื้นที่สวนทายของกระดาษ รายละเอียดตางๆ ที่อยูในสวนนี้จะถูกแสดงที่บนหัว
กระดาษของรายงานทุกหนา
Report Footer พื้นที่สวนทายของรายงาน รายละเอียดตางๆ ที่อยูในสวนนี้จะถูกแสดงเฉพาะ
รายงานหนาแรกเทานั้น สวนใหญจะแสดงผลรวมของขอมูลภายในสวน Detail
ของกลุมขอมูลทั้งหมดในรายงาน
มุมมองในการสราง Query
Microsoft Access 2002 กําหนดมุมมองในการสราง Report 3 มุมมอง ดังนี้
มุมมอง คําอธิบาย
Design View มุมมองที่ใชสําหรับออกแบบและสราง Report ซึ่งมีวิธีการใชงานเหมือนกับ
มุมมอง Form Design ของ Form
Print Preview มุมมองที่ใชสําหรับแสดงรายงานในรูปแบบภาพกอนพิมพ ซึ่งสามารถกําหนดให
แสดงทีละหลายหนา รวมถึงกําหนดขนาดในการแสดงใหแสดงเปนภาพใหญหรือ
ภาพเล็กไดตามตองการ
Layout View มุมมองที่ใชสําหรับแสดงภาพกอนพิมพเชนเดียวกับแบบ Print Preview แตจะ
แสดงใหเห็นเพียงหนาเดียวเทานั้น และแสดงในลักษณะที่พอดีกับหนาจอเทานั้น
ประเภทของ Report
Report สามารถแบงประเภทไดดังนี้
ประเภท ความหมาย
Design View การสรางรายงานดวยตนเอง โดยใชเครื่องมือหรือที่เรียกวา “คอนโทรล”
(Control) ในลักษณะตางๆ พรอมระบุเงือนไขตางๆ ที่ตองการนําแสดงใน
รายงานตามความตองการ
Report Wizard การสรางรายงานโดยการเรียกใชวิซารด (Wizard) ซึ่งโปรแกรมจะถาม
คําถามเกี่ยวกับลักษณะของรายงานที่ตองการ พรอมแสดงภาพตัวอยาง
ประกอบทุกขั้นตอน แลวสรางออกมาเปนรายงานตามที่ตองการ และยัง
สามารถสร า งรายงานที่ มี ก ารจั ด กลุ ม ข อ มู ล เรี ย งลํ าดั บ ข อ มู ล และการ
สรุปผลรวมขอมูล นอกจากนี้ยังสามารถสรางรายงานในลักษณะพิเศษ
อื่นๆ เชน รายงานในรูปแบบของแผนภูมิ (Chart)หรือปายชื่อ (Label)
102
ประเภท ความหมาย
AutoReport : Columnar การสรางรายงานแบบงาย โดยสามารถกําหนดแหลงที่มาของขอมูลไดจาก
ตารางหรือคิวรี ซึ่งรูปแบบจะเหมือนกับการสราง Form โดยใช AutoForm
: Coulumnar โดยแตละหนาของรายงานจะแสดงขอมูลแตละเรคคอรด
โดยเรียงฟลดขอมูลจากบนลงลางในแนวแถว ตามลําดับที่กําหนดไวใน
โครงสรางของ Table หรือ Query
AutoReport : Tabular การสรางรายงานแบบงาย โดยสามารถกําหนดแหลงที่มาของขอมูลไดจาก
ตารางหรือคิวรี ซึ่งรูปแบบจะเหมือนกับการสราง Form โดยใช AutoForm
: Tabular โดยแตละหนาของรายงานจะแสดงขอมูลแตละเรคคอรด โดย
เรียงฟลดขอมูลจากซายไปขวา ตามลําดับที่กําหนดไวในโครงสรางของ
Table หรือ Query
Chart Wizard การสรางรายงานที่แสดงขอมูลในลักษณะแผนภูมิแบบตางๆ
Label Wizard การสรางรายงานที่แสดงขอมูลที่ตองการพิมพฉลาก เชน ชื่อและที่อยูของ
ลูกคา เปนตน
ขั้นตอนการปฏิบัติที่ 5.1
103
4. ปรากฏหนาตาง New Report ดังรูป
สวนกําหนดรูปแบบ
การสราง Report
สวนกําหนดขอมูลที่
นํามาสราง Report
104
5. คลิกเลือกรูปแบบการสราง Report แบบ Report Wizard และคลิกเลือกชื่อตาราง
CUSTOMER โดยคลิกที่ปุมลูกศรดานขาง ดังรูป
6. คลิกปุมคําสั่ง OK
7. ปรากฏหนาตาง Report Wizard ดังรูป
105
หนาตาง Report Wizard ประกอบดวย 3 สวนคือ
รายชื่อฟลดที่
แสดงบนรายงาน
คลิกปุมคําสั่ง Next
10 คลิกปุมคําสั่ง Next
106
11. ปรากฏหนาจอถัดไป เพื่อกําหนดการจัดกลุมของขอมูลใน Report ใหนักศึกษาเลือกการ
จัดกลุมขอมูลแบบใดก็ได หรือไมจัดกลุมขอมูลก็ได
- กรณีที่เลือกการจัดกลุม ใหนักศึกษาคลิกเลือกที่ชื่อ Field ที่ตองการจัดกลุม
จากนั้นคลิกที่เครื่องหมาย > แลวคลิกปุม Next
- กรณีที่ไมเลือกการจัดกลุม ใหนักศึกษาคลิกปุม Next
2. คลิกปุม
1. คลิกเลือกฟลด
CusZipcode
3. ปรากฏฟลด CusZipcode
อยูดานบนฟลดอื่นๆ
4. คลิกปุมคําสั่ง Next
107
12. ปรากฏหนาจอถัดไป เพื่อกําหนดการจัดเรียงขอมูล (Sort)ในแตละ Record ดังรูป
ขั้นตอนการกําหนดการจัดเรียงขอมูล มีดังนี้
1) คลิกที่ชองกําหนดการจัดเรียงขอมูล เพื่อเลือกฟลดที่ตองการจัดเรียงขอมูล
ในที่นี่คลิกเลือกฟลด
ชื่อลูกคา (CusName)
ดังรูป
2) คลิกเลือกรูปแบบการจัดเรียงขอมูล
- การจัดเรียงขอมูลแบบ Ascending เปนการจัดเรียงขอมูลจากนอยไปหามาก
- การจัดเรียงขอมูลแบบ Descending เปนการจัดเรียงขอมูลจากมากไปหานอย
3) คลิกปุม Next ดังรูป
คลิกปุมคําสั่ง Next
108
13. ปรากฏหนาจอถัดไป เพื่อกําหนดรูปแบบของรายงาน (Layout) และหนากระดาษของ
รายงาน (Orientation) ดังรูป
2. คลิกเลือก Orientation
แบบ Portrait
1. คลิกเลือก Layout
แบบ Outline 2
3. คลิกปุมคําสั่ง Next
109
14. ปรากฏหนาจอถัดไป เพื่อกําหนดรูปแบบตัวอักษร (Style) ใหกับสวน Page Header
1. คลิกเลือก Style
แบบ Soft Gray
2. คลิกปุมคําสั่ง Next
110
15. ปรากฏหนาจอถัดไป ใหตั้งชื่อของ Report ใหนักศึกษาตั้งชื่อวา CUSTOMER ดังรูป
รูปแบบ คําอธิบาย
Preview the report แสดงรายงานในรูปแบบมุมมองที่ใชสําหรับแสดงรายงานในรูปแบบ
ภาพกอนพิมพ
Modify the report’s design แสดงรายงานในรูปแบบมุมมองที่ใชสําหรับแกไข Report
111
17. ปรากฏ Report ที่สรางขึ้น ในมุมมองแบบกอนพิมพ ดังรูป
112
การแกไขรายงาน
ขั้นตอนการปฏิบัติ การเพิ่มสวนหัวและสวนทายของรายงาน
2) คลิกที่ Icon
จากนั้นเลือกคําสั่ง
Design View ดังรูป
113
คําสั่ง
114
บรรณานุกรม
วุฒิพงศ พงศสุวรรณ และวลัยพร จรนิเทศ. (2543). How to learn database with Microsoft
Access 2002. กรุงเทพฯ : ซอฟตแวร ปารค.
สัจจะ จรัสรุงรวีวร และสุรัสวดี วงศจันทรสุข. (2545). คูมือการใชงาน Access 2002 ฉบับ
สมบูรณ. กรุงเทพฯ : อินโฟเพรส.
สัมฤทธิ์ วงศเดนดวง. (2547). คัมภีรการออกแบบและพัฒนาระบบฐานขอมูลดวย Microsoft
Access เลม1. กรุงเทพฯ : เคพีที คอมพ แอนด คอนซัลท.
Frye, Curtis. (2001). Microsoft Access version 2002 plain & simple. Redmond, Wash. :
Microsoft Press.
Online Training Solutions. (2001). Microsoft Access version 2002 step by step.
Redmond, Wash. : Microsoft Press.
Wood, Dawn Parrish. (2002). Essentials Access 2002. Upper Saddle River, N.J. :
Prentice Hall.
115